จากร้านขายขนมครกธรรมดา ที่ใครๆ มองว่าเป็นธุรกิจเล็กๆ และทำได้ง่าย แต่การที่จะครองตลาดได้ยาวนานถึง 28 ปี ถือว่าไม่ธรรมดา ซึ่งเส้นทางของธุรกิจนี้ล้วนแต่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมาอย่างโชกโชน กว่าจะมาถึงวันนี้ ด้วยสูตรของขนมครกที่ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นพ่อ จนได้มีโอกาสเข้าไปทำถวายในวัง และกลายเป็นที่มาของร้านขนมครก (เข้าวัง) ในปัจจุบัน
สกนธ์ ฐาปนะกิจไพบูลย์ เจ้าของร้านขนมครก (เข้าวัง) ลุงธนิต เล่าว่า ธุรกิจนี้เป็นของครอบครัว แฟนสาว คือ นพวรรณ ฐาปนะกิจไพบูลย์ ที่ทำมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ และเป็นสูตรโบราณดั้งเดิมที่สมัยนี้หาขนมครกรสชาติดังกล่าวได้ยากเต็มที ซึ่งการเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ของนายสกนธ์ มาจากคำชักชวนของพ่อภรรยาที่ ชวนให้มาขายขนมครก หลังจากที่ตนเองได้ออกจากงานในบริษัทไฟแนนซ์ แห่งหนึ่งปิดตัวลง หลังเจอพิษเศรษฐกิจเมื่อปี 2540
“ในช่วงแรกที่ผมตัดสินใจมาขายขนมครกนั้น ก็มองว่าธุรกิจนี้จะดีหรือ เพราะเป็นธุรกิจเล็กๆ ทั่วไป แต่เมื่อได้เข้าไปทำอย่างเต็มตัวก็รู้ว่าแม้ธุรกิจจะเล็ก แต่ถ้าเราจะทำให้มันใหญ่ และเติบโตขึ้นก็ทำได้ จากความตั้งใจจริง และมุ่งมั่นที่จะทำงานนั้นอย่างจริงจัง ผมจึงเริ่มฝึกแคะขนมครก ผสมแป้ง ตามสูตรของพ่อ ที่ลูกค้าติดอกติดใจ ทำให้ในปัจจุบันร้านขนมครก (เข้าวัง) ได้เปิดอีกหนึ่งสาขาที่ประชาชื่น 24 ข้างตลาดบองมาเช่ จากเดิมที่เป็นรถเข็น ร้านหน้าสวัสดี เยื้องตลาดราชวัตร (เปิดขาย 15.00-22.00 น.) จนเป็นที่ติดอกติดใจของลูกค้า”
จากรสชาติของขนมครกที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ร้านขนมครกของลุงธนิต ซึ่งในช่วงแรกยังไม่มีชื่อร้าน แต่เมื่อได้รับเกียรติให้เข้าไปทำถวายในวัง เช่น วังสวนจิตรลดา วังศุโขทัย วังสระปทุม และวังเลอดิศ ทำให้ลูกค้าแนะว่าน่าใช้ชื่อว่า ขนมครก (เข้าวัง) น่าจะจำง่ายขึ้น ทำให้ตัดสินใจตั้งชื่อร้านว่า “ขนมครก (เข้าวัง) ลุงธนิต”หลังจากที่ได้มีโอกาสรับใช้พระบรมวงศานุวงศ์
สำหรับจุดเด่นของขนมครก (เข้าวัง) คือ ความกรอบนอก นุ่มใน พอดีคำ ทำให้รับประทานได้เรื่อยๆ ไม่เลี่ยน ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของขนมครก (เข้าวัง) ที่ยากจะลอกเลียนแบบ จากเนื้อแป้ง และใช้หัวกะทิล้วนๆ ทำให้ได้ขนมครกที่มีความหวานมันกลมกล่อม
หลังจากที่ได้ขยายสาขามาที่ย่านประชาชื่น ซึ่งพื้นที่เป็นตึกแถว ทำให้สกนธ์และภรรยา เนรมิตร้านขนมครกแบบธรรมดา ให้กลายมาเป็นร้านกาแฟสด ที่สามารถนั่งทานขนมครกได้ในบรรยากาศไม่แพ้ร้านกาแฟชื่อดัง รวมถึงได้นำอาหารง่ายๆ เข้ามาเสริมด้วย เช่น ส้มตำทอด ลูกชิ้นปิ้ง เป็นต้น หวังให้ลูกค้าที่ซื้อขนมครกมีที่นั่งรับประทานขนมครกได้อย่างสบายอารมณ์
ล่าสุดเตรียมคลอดหน้าขนมครกใหม่ 4 หน้า คือ ฝอยทองอบกรอบ อัลมอนด์ แปะก๊วย และหน้ากุ้ง หวังพลิกโฉมขนมครก (เข้าวัง) ที่จากเดิมไม่มีหน้า เพื่อความรวดเร็วในการแคะขนมขายให้ลูกค้า แต่เมื่อธุรกิจมาถึงยุคของคนรุ่นใหม่ จึงคิดหน้าขนมครกขึ้น แต่ยังคงความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร
ส่วนการขยายธุรกิจในรูปแบบของแฟรนไชส์ ทางขนมครก (เข้าวัง) บอกว่า ที่ผ่านมามีผู้สนใจติดต่อเข้ามาหลายราย แต่ขณะนี้ยังไม่พร้อมในเรื่องของบุคลากร รวมถึงอาชีพขายขนมครก ต้องอาศัยคนที่มีความตั้งใจจริง และมีความอดทนสูง จากความร้อนขณะแคะขนมครก โดยราคาขายอยู่ที่ 20-30 บาท ส่วนที่มีหน้าราคา 40 บาท โดยรายได้หลักอยู่ที่การรับออกงานนอกสถานที่ ซึ่งขณะนี้มีการออกงานเกือบทุกวันในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในราคาขั้นต่ำ 5,000 บาท (สำหรับลูกค้า 200 ท่าน) ที่ถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงหากเทียบกับขนมครกรายอื่น แต่หากมองถึงวัตถุดิบที่นำมาใช้ถือว่าคุ้มค่ากับราคา รวมถึงแขกที่มาในงานยังได้รับประทานขนมครกที่อร่อยถูกใจด้วย
“ผมตั้งใจที่จะยกระดับขนมครกแบบไทยๆ แข่งกับเบเกอรี่ให้ได้ เพราะหากศึกษากันจริงๆ แล้ว ขนมครกสามารถสร้างมูลค่าในตัวเองได้ หากคนไทยเห็นคุณค่า เพราะที่ผ่านมาหลังจากที่ได้มีโอกาสไปออกงานที่ต่างประเทศ ชาวต่างชาติต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก จากรูปลักษณ์ที่แปลกตาของเบ้าขนมครก และรสชาติที่กลมกล่อม ซึ่งจากตรงจุดนี้ทำให้ผมเชื่อว่า อนาคตของขนมครกไทยจะสามารถเติบโตในต่างประเทศได้ หากได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน และจากความตั้งใจจริงของผู้ประกอบการที่จะสร้างชื่อให้กับขนมครกของไทย” สกนธ์กล่าวทิ้งท้าย
***สนใจติดต่อ 0-2668-4539, 0-2241-3840, 08-1916-0974***