สสว. จับมือเทศบาลเมืองระนอง ดันบ่อน้ำพุร้อน สวนสาธารณะรักษะวาริน ขึ้นชั้นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพระดับสากล หวังกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท่องเที่ยวในท้องถิ่นทั้งทางตรงและอ้อม
นายชาวันย์ สวัสดิ์-ชูโต รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ร่วมกับหลายหน่วยงานจัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนในหมู่เอสเอ็มอีตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งในนี้ (2551) นี้ สสว. ได้สานต่อการดำเนินงาน ได้ร่วมกับเทศบาลเมืองระนอง ส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพประเภทน้ำพุร้อนขึ้น
“จากข้อมูลของกรมทรัพยากรธรณี ที่ระบุว่าประเทศไทยมีแหล่งน้ำพุร้อนถึง 112 แห่ง และยังไม่ได้รับการพัฒนาให้เป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเท่าที่ควร การจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง สสว. กับเทศบาลเมืองระนองในครั้งนี้ ก็เพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งน้ำพุร้อนและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของจังหวัดระนอง ให้มีคุณภาพ มาตรฐานเทียบเท่ากับต่างประเทศ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาใช้บริการ สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนต่อไป” นายชาวันย์ กล่าว
สำหรับพื้นที่น้ำพุร้อนที่จะพัฒนาอยู่ที่สวนสาธารณะรักษะวาริน อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ซึ่งอยู่ในความดูแลของเทศบาลเมืองระนอง บนเนื้อที่ 25 ไร่ โดยจะพัฒนามให้ได้มาตรฐานสากลทั้งในส่วนของระบบสาธารณูปโภค เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น รวมทั้งพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับแขก
นายชาวันย์ ระบุด้วยว่า สสว. จะเป็นผู้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักพัฒนาการท่องเที่ยว สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หอการค้าไทย ฯลฯ ให้เข้ามาดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของจังหวัดระนอง จัดอบรมผู้ประสานงานพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจ (CDA) ด้านการท่องเที่ยว จ.ระนอง ขณะที่เทศบาลเมืองระนอง นั้นนอกจากจะนำพื้นที่น้ำพุร้อนสวนรักษะวาริน เข้าร่วมโครงการเพื่อขอรับรองมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวน้ำพุร้อน จาก สพท. แล้ว ยังทำหน้าที่ให้การส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการวิสาหกิจด้านการท่องเที่ยว จ.ระนอง เข้าร่วมพัฒนาโครงการ
ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อโครงการนี้พัฒนาแล้วเสร็จ จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มีศักยภาพ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้เข้ามาใช้บริการ ขณะเดียวกันก็จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในท้องถิ่นให้มีขีดความสามารถพัฒนาสินค้าและบริการ เนำไปสู่การสร้างงาน และสร้างรายได้แก่คนในชุมชน
สำหรับโครงการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติประเภทน้ำพุร้อนนี้ สสว. ได้ดำเนินโครงการนำร่องเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา โดยร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลป่าตึง เพื่อพัฒนาพื้นที่น้ำพุร้อนป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย ปัจจุบันการดำเนินงานอยู่ระหว่างการเชิญชวนผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเข้ามาเป็นผู้ลงทุนพัฒนาและบริหารโครงการ โดยคาดว่าจะทำการคัดเลือกเสร็จเรียบร้อยภายในเดือนกันยายนนี้ และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปลายปี 2551 นี้