ชีวิตการทำงานของใครหลายคน อาจเริ่มต้นเมื่อจบชั้นปริญญาตรี และอีกหลายๆ คน ได้เป็นเจ้าของกิจการเมื่อวัยล่วงเข้ากลางคน แต่สำหรับชายคนนี้ “อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์” เขาแหกมาแล้วทุกกฎ กับการหาเงินเลี้ยงตัวเองโดยการขายไอเดียเด็ดๆ ให้กับเจ้าของเกมส์ออนไลน์ในช่วงวัยกางเกงขาสั้น
จากนั้นก็กระโจนเข้าสู่แวดวงธุรกิจกับกิจการขายเกาลัด ก่อนตัดสินใจวัดดวงอีกครั้งตั้งบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผลิตสแน็คหรือของทานเล่นประเภทสาหร่ายแผ่นทอด-อบ หลากรส ภายใต้แบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว
และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อเขามีอายุเพียง 23 ปี เท่านั้น
ย้อนกลับไปเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว อายุของเขาตอนนั้นประมาณ 19-20 เขามองสินค้าตัวนี้อย่างไร และทำไมเขาจึงเชื่อว่าตลาดไปได้
“ตอนที่ตัดสินใจขายกิจการเกาลัดทิ้ง แล้วหันมาจับตลาดสาหร่ายทอด เพราะผมมองเห็นว่าช่วงนั้นกระแสของญี่ปุ่น เกาหลี กำลังมาแรงมาก คนไทยหันมายึดเทรนด์นี้กันหมด ทั้งเรื่องการแต่งตัว เรื่องดารา แล้วก็ตามมาด้วยอาหารการกิน ทั้งซูชิ ปลาดิบ กิมจิ สาหร่าย”
ที่จริงสินค้าขายกระแสญี่ปุ่น เกาหลี มีอยู่หลายตัว แต่ที่เขาเลือกสาหร่าย ก็เพราะมันมีคุณค่าทางอาหารสูง จับมาเป็นอีกจุดขายได้
เมื่อจะขายกระแสญี่ปุ่น เกาหลี ก็ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับตำแหน่งของสินค้า เขาจึงตั้งธงเจาะกลุ่ม First jumber วัย Teen โดยประเด็น “ของกินเล่นที่มีคุณค่าทางอาหารสูง แคลอรี่ต่ำ” เพื่อเสริมพลังการขายให้กับสินค้า
แต่ของกินเพื่อสุขภาพก็มีปัญหาในตัวมันเอง
“โดยส่วนตัว ผมเป็นคนชอบทานอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ติดตรงที่ว่าอาหารเหล่านั้นมักไม่มีความอร่อยเหลืออยู่เลย”
เขาจึงเติมความอร่อยให้กับสาหร่าย “เถ้าแก่น้อย” ด้วยรสชาติที่ถูกปาก หลากหลาย
จนมาถึงวันนี้ หากเอ่ยชื่อแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” คนรักสาหร่าย จะรู้จักเป็นอย่างดี ด้วยเอกลักษณ์ของสินค้าที่โดดเด่น ชูจุดขายที่ความหลากหลายของทั้งรูปแบบผลิตภัณฑ์และรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น สาหร่ายทอด หรือสาหร่ายเทมปุระ มีรสชาติให้เลือกทั้งแบบคลาสสิค, ฮ็ฮต&สไปซี่, ซีฟู๊ด วาซาบิ และซ้อสมะเขือเทศ
อีกทั้งเน้นแพ็คเกจสีสันสดใส มีโลโก้ตัวเถ้าแก่น้อย สะดุดตา จำง่าย
ภาพลักษณ์ของ “เถ้าแก่น้อย” คือ อาหารว่างที่ทำมาจากสาหร่ายทะเล นอกเหนือจากรสชาติที่ปรุงให้ถูกปากคนไทยแล้ว ผู้บริโภคยังจะได้รับคุณค่าทางอาหาร
ถึงแม้ในวันนี้ “เถ้าแก่น้อย” จะก้าวมายืนอยู่แถวหน้าของตลาดสแน็คประเภทสาหร่ายทอดได้สำเร็จ ทำยอดขายปีที่แล้วได้ 500 ล้านบาท ปีนี้ (2551) ตั้งเป้า 750 ล้านบาท และสามารถบุกตลาดต่างประเทศได้แล้ว แต่คงจะไม่เพียงพอหากต้องการจะเติบโตต่อไป
อิทธิพัทธ์ จึงเริ่มต้นเปิดอีกแนวรบ สร้างแบรนด์ใหม่ “CURVE” ขยายฐานการตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เพื่ออุดทุกช่องว่างในตลาดของผลิตภัณฑ์สาหร่าย เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
“ผมเป็นคนมีเพื่อนผู้หญิงเยอะ และเพื่อนๆ มักชอบถามว่า กินเถ้าแก่น้อยแล้วอ้วนไหม ทั้งๆ ที่ตัวสาหร่ายมันมีแคลอรี่ต่ำอยู่แล้ว ทำไมสาวๆ ยังกังวลกันอีก ก็เลยคิดว่าหันมาจับตรงนี้เต็มตัวเลยดีกว่า ซึ่งนั่นก็คือที่มาของ CURVE”
และยังเป็นที่มาของ “แคลอรี่น้อย...อร่อยได้เต็มที่” คำจำกัดความที่อิทธิพัทธ์คิดขึ้นเพื่อใช้โปรโมท แบรนด์ใหม่ “CURVE” โดยมุ่งจับกลุ่มผู้หญิงวัย 18-30 ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพเป็นพิเศษ
“จุดเด่นสำคัญของ CURVE อยู่ตรงที่ใช้สาหร่ายเกรด A พันธุ์พรีเมี่ยม AJINSUKE NORI นำมาผ่านกระบวนการพิเศษ ทำให้มีเนื้อบางละลายในปากได้ สาหร่ายพันธุ์นี้ ให้พลังงานต่ำกว่า 15 กิโลแคลอรี่ และมีเส้นใยอาหารที่ช่วยดูแลระบบขับถ่าย ที่สำคัญยังเน้นที่รสชาติความอร่อยเป็นหลัก ผิดกับอาหารว่างเพื่อสุขภาพชนิดอื่นๆ”
ช่องทางการตลาดของ CURVE เป็นช่องทางเดียวกับ “เถ้าแก่น้อย” คือในโมเดิร์นเทรด เช่น โลตัส, บิ๊กซี, ท็อปส์, เซเว่นฯ
แต่จะเพิ่มช่องทางตามร้านเพอร์ซันนัลแคร์ สำหรับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง เช่น ร้านวัตสัน, บูธส์, ร้านขายยาที่ดูมีเกรด รวมทั้งตามโรงภาพยนตร์ชั้นนำ Major, EGV และ SF Cinema
“เป้าหมายของ CURVE คิดว่าปีนี้ซึ่งเป็นปีแรก น่าจะได้สัก 50 ล้าน โดยยกลยุทธ์ราคาจะตั้งสูงกว่าเถ้าแก่น้อยนิดหน่อย”
เมื่อรวมกับ “เถ้าแก่น้อย” ที่ตั้งเป้าไว้ 750 ล้านบาท ถ้าทำได้ ปีนี้ก็แตะ 800 ล้านบาท ทั้งส่วนที่ขายในประเทศและส่งออก
“ใจผมจริงๆ ก็คือตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 ล้านบาท แต่ในขณะนี้กำลังผลิตของเรายังไม่เพียงพอ ตอนนี้ที่โงงานผลิตสาหร่ายได้ 700,000 แผ่นต่อวัน ในอนาคตน่าจะได้ถึง 1,000,000 แผ่นต่อวัน”
ขอยืนยันอีกครั้งว่า ทั้งหมดนี้ออกจากปากเด็กหนุ่มวัยแค่ 23 จริงๆ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ “เถ้าแก่น้อย” ก้าวมาได้ไกลถึงขนาดนี้ เป็นเพราะความสามารถของเด็กหนุ่มวัย 23 คนนี้
เด็กหนุ่มวัย 23 คนนี้ ต้องยกให้เป็นอีกหนึ่งโชว์เคสของธุรกิจเมืองไทยเลยทีเดียว
***ข้อมูลจากนิตยสาร SMEs Today ฉบับที่ 69 ประจำเดือนกรกฎาคม 2551****