“จักรมณฑ์” ประกาศสางปัญหาเอสเอ็มอีแบงก์ไว้ลายก่อนเกษียณ ทั้งเรื่องค่าโง่สวอป 4 พันล้าน พิจารณากรอบปล่อยกู้ ตรวจสอบทุจริตปล่อยสินเชื่อ และปรับโครงสร้างองค์กร
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า ก่อนจะเกษียณอายุเดือน ก.ย.นี้ จะเร่งสะสางงานของคณะกรรมการเอสเอ็มอีแบงก์ที่ยังค้างอยู่ 4 เรื่อง ได้แก่ 1 ปัญหาการซื้อสัญญาสวอปเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการกู้เงินต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงคณะกรรมการชุดก่อน โดยจะตรวจสอบว่า ฝ่ายบริหารของธนาคารดำเนินการถูกกฎหมายหรือไม่ โดยต้องปรึกษากับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะหากมีการพิจารณาย้อนหลัง อาจจะกระทบต่อคณะกรรมการธนาคารชุดปัจจุบันได้
ทั้งนี้ คณะกรรมการธนาคารมีมติให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยเห็นว่าเรื่องนี้อาจมีเจ้าหน้าที่ธนาคารทำผิด เพราะธนาคารไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งตามประกาศ ธปท.กำหนดให้เอสเอ็มอีแบงก์ต้องแจ้งการสวอปเงินทุกครั้ง เพื่อตรวจสอบว่าการทำธุรกรรมกับธนาคารต่างประเทศเหมาะสมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าว ต้องพิจารณาด้วยว่า ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด มีจริยธรรมหรือไม่ เพราะเอสเอ็มอีแบงก์เป็นธนาคารขนาดเล็ก ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินดอลลาร์
2. พิจารณาทบทวนการอนุมัติกรอบนโยบายปล่อยสินเชื่อใหม่ จากเดิมให้อำนาจแก่ผู้บริหารมากเกินไป จนเกิดช่องโหว่และมีการควบคุมดูแลน้อยมาก ดังนั้น จะกำหนดกรอบอนุมัติสินเชื่อให้สามารถตรวจสอบได้ โดยกรอบอนุมัติสินเชื่อใหม่ขณะนี้ได้ส่งไปให้กระทรวงการคลังพิจารณารายละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดช่องโหว่อีก
3. จะเร่งตรวจสอบการปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่ผิดปกติอยู่ประมาณ 75 เรื่องให้เสร็จเรียบร้อย ซึ่งขณะนี้ สอบไปแล้ว 50 เรื่อง โดยต้องการให้สอบสวนให้เสร็จทั้งหมดก่อนเกษียณอายุ เพราะหากปล่อยค้างไว้คณะกรรมการธนาคารชุดใหม่ ต้องตั้งคณะกรรมการสอบใหม่อีก
และ 4. จะปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยให้พนักงานเข้าร่วมโครงการเกษียณก่อนกำหนด ซึ่งขณะนี้ มีพนักงานสนใจจำนวน 117 คน จากที่ตั้งเป้าไว้ 300 คน โดยธนาคารตั้งงบประมาณไว้ 300 ล้านบาท ซึ่งมีพนักงานระดับรองกรรมการผู้จัดการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการหลายคนแสดงความสนใจ
หากตำแหน่งดังกล่าวมีคนเออร์ลีรีไทร์ หรือเกษียณอายุ ก็จะยุบตำแหน่งไปเลย เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงทำได้งานเต็มที่มากขึ้น เพราะที่ผ่านมา มีผู้บริหารระดับรองกรรมการผู้จัดการ 4 คน และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการถึง 10 คน ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาระยะยาวได้ และทำให้ขนาดขององค์กรเล็กลง จากทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผู้บริหาร ก็จะเปิดรับพนักงานใหม่เข้ามาจำนวนมาก