กลุ่มคลัสเตอร์ สิ่งทอเพชรเกษม ระบุสถานการณ์สิ่งทอไทยยังวิกฤต ปัญหาเก่ายังรุมแถมมีอินเดียเป็นคู่แข่งเพิ่ม ชี้อนาคตจีนจะเปลี่ยนสภาพเป็นประเทศผู้บริโภค วอนรัฐบาลวางยุทธศาสตร์ระยะยาวคว้าโอกาส
นายพิบูลย์ มนัสพล ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ สิ่งทอเพชรเกษม ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการสิ่งทอไทยแบบครบวงจร มีสมาชิกมากกว่า 50 ราย กล่าวว่า สถานการณ์ของเอสเอ็มอีสิ่งทอไทยในปีนี้ (2551) ยังอยู่ในภาวะลำบากเช่นเดิม และคาดว่า จะย่ำแย่ต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยปัจจัยลบสำคัญ คือ ค่าเงินบาทแข็งตัว ซึ่งมีแนวโน้มจะแข็งค่าต่อเนื่อง รวมถึง ค่าน้ำมันที่สูงขึ้น กระทบต้นทุนเพิ่มสูง นอกจากนั้น ยังมีคู่แข่งต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่จีน และเวียดนามเท่านั้นแล้ว แต่ปัจจุบัน ประเทศอินเดียกำลังเป็นอีกคู่แข่งที่น่ากลัวมาก
“ปีนี้ สินค้าจากจีนคงส่งออกตลาดต่างประเทศไม่มากนัก เนื่องจากจีนกำลังเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิก ทำให้ความต้องการสินค้าเฉพาะภายในประเทศก็ไม่เพียงพอจำหน่ายแล้ว แต่ตอนนี้ อินเดีย ซึ่งค่าแรงถูกมาก กำลังเป็นคู่แข่งที่มาแรงมากๆ ในขณะที่เรายังมีปัญหาค่าเงินบาทแข็งที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้การแข่งขันลำบากขึ้นไปอีก” นายพิบูลย์ กล่าว และเผยต่อว่า
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการไทยพยายามปรับตัวอย่างมาก ทั้งการรวมกลุ่มคลัสเตอร์ เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจ สร้างแบรนด์ของตัวเอง รวมถึง ปรับกลยุทธ์ให้มีนวัตกรรมใหม่ เช่น ใส่กลิ่นสมุนไพร ช่วยเพิ่มค่า และหนีคู่แข่ง ทว่า ในความเป็นจริง แม้จะปรับตัวแล้ว ก็ยังแข่งขันได้ยาก เพราะทุกวันนี้ สินค้าจากประเทศคู่แข่ง อย่างจีนได้ปรับปรุงคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ราคายังถูกกว่าสินค้าไทยเช่นเดิม ความคิดที่ว่าสินค้าสิ่งทอไทยคุณภาพสูงกว่าเป็นสินค้าระดับพรีเมียมในอาเซียน กำลังเป็นความคิดที่ปลอบใจตัวเองเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในอีกไม่เกิน 10 ข้างหน้า ประเทศจีนจะเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการสิ่งทอไทย เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ประเทศจีนจะมีเศรษฐกิจรุ่งเรืองมากๆ ประชากรมีฐานะร่ำรวย เปลี่ยนสถานะตัวเองจากผู้ผลิตแรงงานราคาถูกสู่ประเทศผู้บริโภค ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาลต้องเร่งวางยุทธศาสตร์ระยะยาว เตรียมพร้อมรับโอกาสดังกล่าว ถ้าทำได้เชื่อว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยจะเติบโตอีกมหาศาล