ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อน โรคไข้หวัดนก คือ โรคร้ายใหม่ สร้างความหวั่นผวาให้แก่คนทั้งโลก ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและอ้อม ล้วนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ถึงขนาดบางรายต้องหยุดกิจการไปเลย
ทว่า ท่ามกลางวิกฤตความตื่นกลัวดังกล่าว กลับจุดประกายให้หนุ่มเมืองกำแพงเพชร อย่าง “กิตติศักดิ์ นางาม” กล้าสวนกระแสลงทุนนับ 10 ล้านบาท เปิดฟาร์มเลี้ยงไก่ ชื่อ “นางามฟาร์ม” ที่ 67 หมู่ 6 ต.ดอนแตง อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร
กิตติศักดิ์ วัย 33 ปี เล่าว่า ช่วงโรคไข้หวัดนกกำลังระบาดในประเทศไทย และมีการยืนยันว่าจะเป็นโรคประจำถิ่น ทำให้เขาวิเคราะห์สถานการณ์ว่า ในที่สุดแล้ว ระบบการเลี้ยงแบบฟาร์มเปิดต้องถูกยกเลิกไปเปลี่ยนมาเลี้ยงในระบบฟาร์มปิดทั้งหมด ขณะเดียวกันบริษัทที่ส่งออกเนื้อไก่สดต้องหันมาซื้อเนื้อไก่จากฟาร์มระบบปิดเท่านั้น ดังนั้น ถ้าสามารถเลี้ยงไก่ระบบปิดได้มาตรฐาน จะเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างสูง
ประกอบกับมีความฝันอยากมีธุรกิจส่วนตัวมาตลอด เมื่อเห็นโอกาส จึงมุ่งมั่นจะทำธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ระบบปิด โดยใช้เวลาศึกษากว่า 6 เดือน ทั้งระบบการตั้งโรงเลี้ยง และวิธีการเลี้ยงจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานในจังหวัดใกล้เคียง อย่างนครสวรรค์
ขณะเดียวกัน ถ้าจะลงทุนทำฟาร์ม แล้วต้องขายเองจะเสี่ยงเกินไป ดังนั้น สิ่งสำคัญ พยายามหาตลาดรองรับซื้อเนื้อไก่ที่แน่นอนให้ได้เสียก่อน ฉะนั้น จึงนำแผนธุรกิจเข้าไปเสนอแก่บริษัทส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่แห่งหนึ่ง จนเกิดการเจรจาธุรกิจซื้อขายกันล่วงหน้า
“แผนที่ผมไปเสนอกับบริษัท พยายามชี้ให้เห็นว่า ผมสามารถทำฟาร์มเลี้ยงไก่ได้ในระบบคุณภาพจริงๆ มีแผนทุกอย่างครบถ้วน ทำให้เขาเกิดความมั่นใจจะทำสัญญาซื้อขายกับเรา โดยบริษัทจะส่งลูกไก่ และอาหารสัตว์มาให้ หน้าที่ของผม คือ แค่เลี้ยงไก่ให้โตอย่างมีคุณภาพสะอาดปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งทุกอย่างทั้งเนื้อไก่ อาหารสัตว์ มีการประกันราคาไว้ทั้งหมด ทำให้สามารถคุมต้นทุน และวางแผนระยะยาวได้” กิตติศักดิ์ เล่าเสริม
เมื่อแน่ใจว่า มีตลาดรับซื้อแน่นอนแล้วจึงลงทุนกว่า 10 ล้านบาท สร้างโรงเลี้ยง และวางระบบทั้งหมด ใช้ชื่อว่า “นางามฟาร์ม” โดยงบลงทุนส่วนหนึ่งใช้ทุนส่วนตัว กับกู้จากสถาบันการเงินอย่างธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) จำนวน 6.8 ล้านบาท
นักธุรกิจหนุ่ม เล่าต่อว่า “นางามฟาร์ม” มีพื้นที่ทั้งหมด 28 ไร่ อยู่ที่ ต.ดอนแตง อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร
มีโรงเลี้ยงระบบปิด จำนวน 2 โรง สามารถเลี้ยงไก่ได้โรงละ 20,000 ตัว รวม 40,000 ตัว จุดเด่นของฟาร์มแห่งนี้ คือ ใช้ระบบจ่ายอาหาร และจ่ายน้ำแบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเจ้าแรกในจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งข้อดีช่วยประหยัดแรงงาน ฟาร์มของเขาจึงใช้พนักงานประจำแค่ 2 คนเท่านั้น ส่วนข้อเสีย คือ ระบบนี้ใช้งบลงทุนสูงกว่า 1.2 ล้านบาท/โรงเลี้ยง
สำหรับการเลี้ยงไก่เนื้อ ใช้เวลาต่อรอบประมาณ 42-45 วัน ซึ่งบริษัทผู้รับซื้อจะส่งทีมงานเข้าตรวจคุณภาพทุกวัน โดยสัญญาที่ทำกันจะเป็นแบบปีต่อปี กำหนดต้องส่งให้บริษัทเจ้านี้เจ้าเดียวเท่านั้น ส่วนราคาที่ประกันรับซื้อ คือ 26.75 บาทต่อกิโลกรัม ไก่ 1 ตัว จะมีกำไรประมาณ 8 บาท นับรวมเวลาเลี้ยง และเวลาที่ต้องพักฟาร์มแล้ว ต่อปีจะเลี้ยงได้ 4 รอบ
สำหรับผู้สนใจอยากทำเข้ามาทำธุรกิจฟาร์มไก่ระบบปิด กิตติศักดิ์ เผยว่า โอกาสยังมีอีกมาก เพราะปัจจุบัน บริษัทผู้ส่งออกเนื้อไก่ทุกราย ยังมีความต้องการซื้อเนื้อไก่คุณภาพจำนวนมาก นอกจากนั้น เร็วๆ นี้ จะมีการออกระบบ “คอมพาร์ทเมนต์” (Compassment) ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางในการซื้อขายไก่ระหว่างประเทศทั่วโลก ถ้าปรับตัวพร้อมรับมาตรฐานนี้ โอกาสที่สินค้าจะเป็นที่ต้องการของตลาดก็สูงขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม แนะนำว่า ก่อนจะตัดสินใจลงทุนควรศึกษากฎระบบต่างๆ อย่างถี่ถ้วนเสียก่อน โดยเฉพาะด้านมาตรฐานฟาร์ม ซึ่งมีข้อกำหนดไว้ชัดเจน เช่น ทำเลที่ตั้ง ลักษณะฟาร์ม การจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
อีกทั้ง ต้องศึกษาระบบการเลี้ยง และการป้องกันโรคอย่างดีที่สุด เพราะปัจจุบัน ทั่วโลกให้ความสำคัญกับมาตรฐานไก่อย่างสูง ถ้าเกิดโรคขึ้นในฟาร์ม แทบจะต้องปิดกิจการเลย และถ้าเป็นผู้ประกอบการรายเล็กๆ เช่นเขา ควรมีตลาดรองรับแน่นอนเสียก่อน เพราะธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่จะคืนทุนได้ระยะยาว ถ้าเสี่ยงลงทุนโดยยังไม่มีตลาดแน่นอน โอกาสประสบปัญหาขาดเงินหมุนเวียนเป็นไปได้สูง
กิตติศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า นับจากทำธุรกิจนี้มา ช่วงแรกพบปัญหาไก่น้ำหนักไม่เป็นไปตามต้องการ แต่เมื่อประสบการณ์เพิ่มขึ้น ไก่ที่เลี้ยงมีน้ำหนักดีขึ้นจนพอใจ มีอัตรารอดของไก่สูงกว่า 95% ซึ่งจากแนวโน้มธุรกิจที่ดีต่อเนื่องได้กู้เงินจากเอสเอ็มอีแบงก์ อีก 6 ล้านบาท เพื่อขยายโรงเลี้ยงเพิ่มอีก 2 โรง รับรองเลี้ยงไก่เพิ่มอีก 40,000 ตัว
******************************
โทร.081-564-5612