หอการค้าเผยผลสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการ ชี้กังวลปัญหาเงินบาทแข็งทะลุ 30 บ.ต่อเหรียญสหรัฐ ระบุอาจกระทบเอสเอ็มอีซึ่งด้อยความสามารถในการแข็งขันต้องปิดตัวลง 2.08% ขณะเดียวกันถ้าน้ำมันทะลุ 150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เอสเอ็มอีเจ๊งอีกกว่า 1.32% เตือนยกเลิกกันสำรอง 30% ควรมีมาตรการรองรับ
นายอัทธ์ พิศาลวณิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการ 9 สาขา ประกอบด้วย อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ เคมีภัณฑ์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ยางพารา ผลิตภัณฑ์ เหล็ก คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และยานยนต์และส่วนประกอบ รวมทั้งสิ้น 489 ราย เชื่อว่า ผู้ประกอบการกังวลปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนจะลงไปที่ระดับ 30 บาท/เหรียญสหรัฐ จะส่งผลให้ผู้ประกอบการ 0.25% เริ่มปิดกิจการ
สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก หรือเอสเอ็มอี จะได้รับผลกระทบสูงกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ที่มีทุนและความสามารถในการผลิตสูง และมีอำนาจต่อรองสูง รวมถึง มีระบบบริหารจัดการเรื่องต้นทุนได้มากกว่า ต่างกับธุรกิจเอสเอ็มอีจะเสียเปรียบด้านต่างๆ ดังกล่าวโดยตรง
ทั้งนี้ หากค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 30 บาท/เหรียญสหรัฐ จะส่งผลให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ต้องปิดตัวลงประมาณ 2.08% เนื่องจากไม่สามารถแข่งกับประเทศคู่แข่งได้ และมีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่า ประเทศต่างๆ จะประสบปัญหาเช่นเดียวกับไทย คือ ค่าเงินแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แข็งค่าในอัตราที่น้อยกว่าค่าเงินบาทของไทย ทำให้การค้าของไทยเสียเปรียบ
นอกจากนั้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 150 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะส่งผลให้ผู้ประกอบการ 1.01% ปิดกิจการ และหากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นกว่า 150 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะส่งผลให้ผู้ประกอบการ 1.32 % ปิดกิจการ
“ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเร่งด่วน ด้วยการแทรกแซงค่าเงินบาท เป็นอันดับแรก พยุงราคาน้ำมัน และกระตุ้นการบริโภคในประเทศ โดยมองว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสม ควรเป็นระดับ 34-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จึงจะช่วยให้ผู้ประกอบการโดยรวมอยู่รอดได้ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน” นายอัทธ์ เผย
ทั้งนี้ หากรัฐบาลจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ภาครัฐควรจะมีมาตรการอื่นๆ รองรับ เพื่อสกัดการเก็งกำไรค่าเงินออกมาเพิ่มเติมด้วย เช่น การเก็บภาษีสำหรับเงินทุนที่จะไหลกลับออกไปนอกประเทศ คาดการณ์ว่าเงินบาทมีโอกาสจะแตะระดับ 30 ต่อเหรียญสหรัฐได้ เพราะยังมีเงินไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียเป็นจำนวนมาก หากเงินบาทต่ำกว่าระดับ 30 ต่อเหรียญสหรัฐ จะทำให้ผู้ประกอบการเริ่มมีความคิดจะย้ายฐานการผลิต และลดคนงานลง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
