สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ช่วยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย วิเคราะห์หาองค์ประกอบตัวอย่างทองคำโบราณจากปราสาทหินในภาคอีสานอายุเกือบพันปี เพื่อปรับปรุงข้อมูลส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวรของพิพิธภัณฑ์ และนำไปสู่การค้นหา “สายแร่ทองคำ” ที่เป็นแหล่งที่มาของทองคำ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย นำตัวอย่าง "ทองคำโบราณ" จากปราสาทหินในภาคอีสานอายุเกือบพันปี มาวิเคราะห์หาองค์ประกอบ ณ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เพื่อปรับปรุงข้อมูลส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวรของพิพิธภัณฑ์ และยังเป็นฐานข้อมูลเทียบกับฐานข้อมูลทางธรณีวิทยา และนำไปสู่การค้นหา “สายแร่ทองคำ” ที่เป็นแหล่งที่มาของทองคำ
นางเบญจวรรณ พลประเสริฐ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย จ.นครราชสีมา นำตัวอย่างทองคำโบราณจากปราสาทหินในภาคอีสานกว่า 20 รายการ มาวิเคราะห์ที่สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน โดยมี ดร.วันทนา คล้ายสุบรรณ์ ผู้จัดการระบบลำเลียงที่ 8 รับตัวอย่างมาวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแสงซินโครตรอน ซึ่งทองคำดังกล่าวเป็นทองคำในสมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งอยู่ในช่วงยุคอารยธรรมขอมกำลังรุ่งเรือง และแผ่อิทธิพลมายังอาณาจักรไทยในอดีต
ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย กล่าวว่า
“นำตัวอย่างทองคำโบราณโดยคัดเลือกมาเพียงบางส่วน เพื่อวิเคราะห์หาส่วนผสม องค์ประกอบต่างๆ ในทองคำ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีข้อมูลเรื่องนี้ ข้อมูลจากงานการวิเคราะห์นี้จะนำไปสู่การนำเสนอข้อมูลใหม่ ในการปรับปรุงส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวรใหม่ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย อีกด้วยซึ่งจะเริ่มในปลายปีนี้ อีกทั้งยังใช้เป็นฐานข้อมูลเทียบกับฐานข้อมูลทางธรณีวิทยา เพื่อค้นหา “สายแร่ทองคำ” ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดหรือแหล่งที่มาของทองคำโบราณเหล่านี้ได้”
นอกจากทองคำโบราณแล้ว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ยังมีความร่วมมือในการใช้แสงซินโครตรอนวิเคราะห์โบราณวัตถุอื่นๆ อีกด้วย เช่น ลูกปัดโบราณ พระพุทธรูปโบราณ ประติมากรรมโบราณ เป็นต้น