หนูเป็นสัตว์ที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่มนุษย์เริ่มรู้จักทำเกษตรกรรมใหม่ ๆ และรู้จักเก็บผลิตผลทางการเกษตรที่ได้ เพื่อใช้เป็นอาหารในยามสภาพดินฟ้าอากาศไม่อำนวย และพบว่า ในสถานที่เก็บอาหารมักมีหนูเข้ามาอาศัย และกินอยู่ด้วย จากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหนูก็มีแต่แย่ลง ๆ เพราะหนูชอบขโมยอาหารของมนุษย์กิน ชอบกัดทำลายสิ่งของในบ้าน และที่ร้ายที่สุด คือ เป็นพาหะนำกาฬโรค และไข้เหลืองมาสู่คน
แต่เมื่อถึงวันนี้ นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่า หนูเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อมนุษย์มาก เพราะนักวิทยาศาสตร์สุขภาพนิยมใช้หนูเป็นสัตว์ทดลองตัวยาและเทคนิคการรักษาโรคใหม่ ๆ เช่น โรค covid-19 และโรค polio รวมถึงโรค Ebola , Marburg และ Lassa เพราะถือเป็นการบังคับว่า ก่อนนักวิจัยจะนำยาที่เพิ่งสังเคราะห์ได้ไปใช้กับคน เขาจำเป็นต้องทดลองใช้ยานั้นกับสัตว์ก่อน เพื่อให้มั่นใจว่า มนุษย์ที่กินยาและรับยาฉีดจะปลอดภัย
เมื่อหนูทดลองมีความสำคัญมากเช่นนี้ ในปี 2015 นักวิทยาศาสตร์จึงได้ถอดแผนที่พันธุกรรมของหนู (genome) อย่างสมบูรณ์ เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานที่กำลังมีประโยชน์มากต่อวงการแพทย์ในอนาคต
คนไทยเรารู้จักหนูหลายชนิด เช่น หนูตะเภา หนูนา หนูพุก หนูแฮมสเตอร์ หนูท้องขาว หนูหริ่ง ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังมีสำนวนพูดและเขียนที่เกี่ยวกับหนูมากมาย เช่น “นกมีหู หนูมีปีก” หมายถึง การกลับกลอก หลอกคนอื่นว่าตนเป็นพรรคพวกของทั้งสองฝ่ายที่เป็นศัตรูกัน “แมวไม่อยู่หนูร่าเริง” ซึ่งหมายถึง เวลาผู้ใหญ่ไม่อยู่ในบ้าน ผู้น้อยหรือลูกน้องมักจะดีใจ และใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างไม่มีระเบียบ “หนูตกถังข้าวสาร” หมายถึง ผู้ชาย (ผู้หญิง) ที่มีฐานะไม่ดี แต่ได้แต่งงานกับคู่ครองที่มีฐานะร่ำรวย “หนูติดจั่น” หมายถึง อาการวนเวียนของคนที่หาทางออกของปัญหาไม่ได้ “เนื้อหนูใส่เนื้อช้าง” หมายถึง การเอาสิ่งของจากข้างที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย ไปให้อีกข้างหนึ่งที่มีมากอยู่แล้ว ทำให้ข้างนั้นมีของมากขึ้นไปอีก “เป็นหนูกับแมว” หมายถึง มีอาการเกรงกลัวอีกฝ่ายหนึ่งมาก
สำหรับชนชาติอื่นก็มีตำนานเรื่องเล่ามากมายที่เกี่ยวกับหนูเช่นกัน นิทานอีสปของชาวกรีก มีเรื่องราชสีห์กับหนู ในประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ ผู้คนจะนับถือหนูเป็นเทพธิดา เพราะเห็นว่า มันเป็นสัตว์เฉลียวฉลาดที่มีความสามารถมากในการเอาตัวรอดเวลาตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน จนถึงกับมีเรื่องเล่าว่า ถ้าผู้โดยสารบนเรือเห็นหนูออกมาวิ่งพล่าน นั่นแสดงว่า เรือลำนั้นกำลังจะจม ในประเทศเยอรมนีก็มีตำนานที่กล่าวถึง นักเป่าขลุ่ยคนหนึ่ง ได้เดินทางมาที่เมือง Hamelin เมื่อปี 1284 เพื่อช่วยชาวเมืองให้รอดพ้นจากการระบาดของกาฬโรค เพราะคนจำนวนมากในเมืองได้ล้มตาย เพราะถูกหนูรบกวนและคุกคามหนัก เมื่อไม่มีผู้ใดรู้วิธีกำจัดหนู หนุ่มคนนั้นจึงอาสาเป่าขลุ่ยเป็นเพลงไพเราะ ให้ฝูงหนูเดินตามออกนอกเมืองไปเป็นพรวน เพื่อกระโจนน้ำตาย เมื่อผู้คนในเมืองปลอดภัย เจ้าเมืองกลับไม่ตอบแทนคุณความดีของเขาแต่อย่างใด หนุ่มคนนั้นจึงเป่าขลุ่ยอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้มีเด็ก 130 คน เดินตามเขาออกจากเมืองไป โดยไม่หวนกลับมาอีกเลย นิทาน The Pied Piper of Hamelin นี้สอนให้รู้โทษของความอกตัญญู และการแก้แค้นที่รุนแรงเกินสมควรของคนเป่าขลุ่ยผู้ยากจนที่ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามเมืองต่าง ๆ เพื่อหางานทำ และถูกโกงแรงงาน จึงแก้แค้นโดยการทำร้ายจิตใจของบิดาและมารดาเด็กที่หายไป ซึ่งตราบจนวันนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่า เด็กหาย ไปที่ใด หรือถูกขายไปเป็นทาส หรือเสียชีวิตเหมือนหนู
ประวัติศาสตร์โปแลนด์ได้กล่าวถึง เจ้าชาย Popiel ว่าทรงเชิญพระประยูรญาติมาเสวยพระกระยาหารที่มียาพิษ เมื่อความแตก เจ้าชายทรงถูกจำคุก และถูกหนูจำนวนนับพันตัวกรูเข้ากัด จนสิ้นพระชนม์
ชาวอินเดียเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่นับถือหนู ที่วิหาร Bikaner ณ เมือง Deshnoke ในรัฐ Rajasthan มีเทพธิดาหนูทรงพระนามว่า Karni Mata ผู้ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ของกวี ในวิหารนี้มีหนูจำนวนมากนับหมื่นตัว เพราะชาวเมืองนับถือหนูเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และคิดว่าเวลากวีชาวอินเดียคนใดเวลาเสียชีวิตลง เขาจะกลายเป็นหนูเข้าไปอาศัยอยู่ในวิหารนั้น และเวลาใครก้มศีรษะกราบองค์เทพธิดา ถ้าหนูคลานขึ้นตามตัว นั่นเป็นลางดี แต่ถ้าใครทำร้ายหนูตัวหนึ่งตัวใดจนตาย เขาจะต้องเสียค่าปรับ เป็นแท่งเงินที่หนักเท่าน้ำหนักตัวของกวีที่ตนนับถือ
ในสายตาของคนทั่วไป หนูเป็นสัตว์สี่เท้าที่มีขนาดเล็กและสามารถพบเห็นได้ทุกหนแห่งที่มีอาหาร ในสหรัฐอเมริกามีการคาดคะเนว่า ประเทศมีหนู 200 ล้านตัว ซึ่งแสดงว่าคนอเมริกันทุกคนมีหนูเป็นสัตว์เลี้ยงได้ 1 ตัว อาหารที่สำคัญของหนู ได้แก่ ไข่ ข้าวโพด แป้ง เนยแข็ง และของเสียต่าง ๆ ความสามารถพิเศษของหนูนั้นมีมากมาย เช่น สามารถตกจากที่สูง 15 เมตรได้ โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ ศัตรูร้ายของหนูคือ แมว ร่างกายของมันสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ โดยการขยาย-หดหลอดเลือดในตัว หนูตัวเมียสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ 500 ครั้งใน 6 ชั่วโมง และในปีหนึ่ง ๆ มันจะมีช่วงเวลาที่สืบพันธ์ได้ 15 ครั้ง เพราะหนูที่มีอายุ 3-4 เดือน สามารถสืบพันธุ์ได้แล้ว ดังนั้น หนูสีน้ำตาล (Rattus norvegicus) สามารถมีลูกได้ถึง 2,000 ตัว โดยทั่วไปหนูมีอายุขัยประมาณ 2-3 ปี และเราสามารถทำให้มันมีชีวิตยืนนานขึ้นได้ โดยการลดปริมาณการบริโภคแคลอรีของมัน ดังนั้น ถ้าใครต้องการจะกำจัดหรือฆ่าหนู วิธีง่าย ๆ ก็คือเพียงแต่นำอาหารมาให้มันกินในปริมาณมากเท่านั้นเอง
เมื่อวันที่ 8 มกราคม ปี 2003 หนูตัวหนึ่งที่ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย Southern Illinois ณ เมือง Carbondale ในสหรัฐอเมริกาได้เสียชีวิตลง ข่าวที่ดูไม่สำคัญนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วโลก มิใช่เพราะมันเป็นหนูน่ารัก หรืออ้วนมาก หรือพูดได้ แต่เพราะมันเป็นหนูที่ครองสถิติการมีอายุยืนที่สุดในโลก คือ 1819 วัน (เกือบ 5 ปีเต็ม) ซึ่งถ้าเป็นคนก็จะตาย เมื่อมีอายุร่วม 150 ปี
การศึกษาหาเคล็ดการมีอายุยืน และการปลอดโรคภัยเบียดเบียน ในหนูจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะมนุษย์มียีน (gene) ที่ซ้ำกับหนูถึง 99% นี่เป็นองค์ความรู้ที่นักพันธุศาสตร์ได้จากการวิเคราะห์ genome ของหนูอย่างสมบูรณ์เมื่อปี 2002
ในส่วนของกาลานุกรมที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของหนูนั้น นักชีววิทยาสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้พบว่า ในยุคไดโนเสาร์ เมื่อ 75-125 ล้านปีก่อน หนูกับมนุษย์เคยมีบรรพสัตว์ร่วมกัน เป็นหนูตัวเล็ก ๆ (Eomaia scansoria) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด จนถึงเมื่อ 6 ล้านปีก่อน เมื่อสัตว์ตระกูล Mus ถือกำเนิด เป็นหนูบ้าน (Mus musculus คำ Mus มาจากคำในภาษาสันสกฤตโบราณ ที่แปลว่า ขโมย) ภาพวาดของหนูได้มีปรากฏในตำราโหราศาสตร์ของจีนเป็น ปีชวด เป็นครั้งแรกเมื่อค.ศ. 877
ลุถึงปี 1664 (รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) Robert Hooke ได้ใช้หนูเป็นสัตว์ทดลอง เพื่อศึกษาอิทธิพลของความดันอากาศที่มีต่อการหายใจของหนู
ในปี 1770 Joseph Priestley ได้พบความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับสัตว์ โดยได้ขังหนูในขวดปิด เมื่ออากาศในขวดหมด หนูก็ตาย และในอีกการทดลองหนึ่ง ภายในขวดปิดมีต้นมิ้นต์ (mint) อยู่กับหนู กระบวนการสังเคราะห์แสงของต้นมิ้นต์ สามารถทำให้หนูมีชีวิตต่อไปได้
ในปี 1900 ครูสาวชาวอเมริกันชื่อ Abbie Lathrop ได้เริ่มทำฟาร์มหนูที่เมือง Granby ในรัฐ Massachusetts เพื่อให้คนนำหนูไปเป็นสัตว์เลี้ยง เพราะหนูในฟาร์มมีขนสีต่าง ๆ กัน ดูน่ารัก และแพร่พันธุ์ได้เร็ว เมื่อประชากรหนูมีมาก เธอจึงเริ่มทำธุรกิจขายหนู
ด้าน William Ernest Castle นักชีววิทยา จากมหาวิทยาลัย Harvard จึงนำหนูที่เขาซื้อจากเธอไปใช้ทดสอบความถูกต้องของกฎการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของ Mendel
ปี 1909 Clarence Cook Little นักชีววิทยาคนหนึ่งในห้องปฏิบัติการของ Castle ได้เริ่มพัฒนาหนูที่เกิดจากการผสมสายพันธุ์ โดยใช้เชื้อสายที่ใกล้ชิด (inbreed) เพราะมั่นใจว่า การศึกษาสายพันธุ์ที่บริสุทธิ์ จะทำให้แพทย์รู้สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งได้ การกระทำของ Little ได้เปิดศักราชการใช้หนูเป็นสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการ จนในที่สุดก็ได้รู้ genome ของสายพันธุ์ C57BL อย่างสมบูรณ์ในปี 2002
ปี 1921-28 L.C. Strong ได้ศึกษาการหาสาเหตุการเกิดเนื้องอกในปอด และเต้านมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ด้าน L.E. Dunn ก็ได้ศึกษาสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งในอัณฑะหนู
ปี 1950 ได้มีการพบหนูอ้วนมากอย่างผิดปกติตัวหนึ่งในห้องปฏิบัติการ Jackson ที่ Bar Harbor ในรัฐ Maine ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดจากยีน leptin ในเซลล์ทำงานผิดปกติ ทำให้หนูเป็นโรคอ้วนมากเกินไป (obesity)
ปี 1962 ได้มีการพบหนูที่เกิดมาโดยไม่มีขนตามตัวเลย ที่ Ruchill Hospital ในเมือง Glasgow ประเทศอังกฤษ นี่คือผลกระทบอีกประการหนึ่ง ที่เกิดจากการไม่มี T cells ในตัวหนู
ปี 1972 David Whittingham ได้แสดงให้เห็นว่า ถ้านำตัวอ่อนหนูไปแช่แข็ง สายพันธุ์ของมัน ก็ยังสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ ดังนั้น นักวิจัยจึงไม่ต้องให้มันผสมพันธุ์กันตลอดเวลา
ปี 1987 Mario Capecchi จากมหาวิทยาลัย Utah ในสหรัฐอเมริกาได้พบวิธีทำให้ยีนตัวหนึ่งของหนูหยุดทำงาน (knockout gene) โดยได้พบวิธีการนี้ ในเวลาไล่เรี่ย กับ Oliver Smithies แห่งมหาวิทยาลัย Wisconsin ผลงานนี้ทำให้ทั้งสองคนได้รับรางวัล Nobel สาขาสรีรวิทยา ประจำปี 2007 ร่วมกับ Sir Martin J. Evans
ปี 2000 นักวิทยาศาสตร์ได้ประสบความสำเร็จในการทำแผนที่พันธุกรรม (genome) ของหนูได้อย่างสมบูรณ์ และพบว่าจีโนมหนูมีน้อยกว่าจีโนมคนเพียง 14% คือ 2.5 พันล้านคู่เบส ต่อ 2.9 พันล้านคู่เบส
หนูมียีน ประมาณ 30,000 ตัว
99% ของยีนคนเหมือนของหนูทุกประการ และอีกประมาณ 300 ยีน จะมีเพียงประมาณ 1% ที่แตกต่างจากของคน
ยีนของหนูที่แตกต่างไปจากยีนคนมาก คือ ยีนที่ทำหน้าที่ดมกลิ่น ยีนภูมิคุ้มกัน ยีนการสืบพันธุ์ แต่ในขณะที่ทั้งหนูและคนต่างก็มียีนที่ทำหน้าที่สร้างหาง แต่ยีนหางในคนกลับไม่ทำงาน
ข้อมูลเหล่านี้ ได้ทำให้มนุษย์ต้องคิดทบทวนใหม่เกี่ยวกับภาพพจน์ของหนูว่า จากที่เคยเป็นศัตรู แต่บัดนี้มันเป็น “เพื่อน” คนหนึ่งที่ดีที่สุดของคนได้ แม้คนเราจะไม่ได้ความอบอุ่นจากหนูก็ตาม แต่มันก็สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น โดยช่วยไม่ให้คนไม่เป็นโรคต่าง ๆ ได้ เพราะโรคต่าง ๆ ที่เกิดในคน สามารถเกิดขึ้นได้ หรือทำให้เกิดขึ้นได้ในหนู หนูจึงเป็นสัตว์ประเสริฐที่เราสามารถใช้เป็นสัตว์ทดลองศึกษาว่า โรคต่าง ๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร ร้ายแรงเพียงใด และจะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ โดยไม่ต้องทดลองกับคนจริง เพราะยีนในคนกับยีนในหนูมีลักษณะเหมือนๆ กัน ในขณะที่ชีวิตของหนูมีราคาถูก และชีวิตของคนมีค่ามาก นอกจากนี้การศึกษาหนูยังสามารถทำได้ในปริมาณมาก (หนูสืบพันธุ์เร็วกว่าคนมาก) ดังนั้นแพทย์จึงมีหนูทดลองที่เป็นโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคออทิสติก โรคจิตเภท และโรคซึมเศร้า ฯลฯ ให้ศึกษา
หนูที่ใช้ในการทดลองเหล่านี้ มักจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ได้อยู่ในห้องขังที่ปราศจากเชื้อโรค เพื่อให้ได้ผลการทดลองที่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน เช่น ใช้หนูที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพี่-น้องท้องเดียวกัน (inbreed) หลายชั่วอายุหนู เพื่อให้ได้ยีนที่เหมือนกันจากพ่อแม่หนูเดียวกัน หรือมีหนูกลายพันธุ์ที่ถือกำเนิดจากพ่อแม่หนูที่ได้รับสารเคมีต่าง ๆ โดยการบริโภคหรือได้รับจากการฉีดสารเคมีเข้าไปในตัวหนู เพื่อรบกวนการทำงานของ DNA ซึ่งอาจจะทำให้ยีนอสุจิหรือยีนไข่ของหนูเกิดการกลายพันธุ์
ณ วันนี้ ตักศิลาของการศึกษาหนูอยู่ที่ Jackson Laboratory ที่เมือง Bar Harbor ในรัฐ Maine ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้สร้างหนูผิดปกติ และแปลกประหลาดมากมาย ให้วงการแพทย์มี allele ของหนูที่ได้กลายพันธุ์หลายรูปแบบเพื่อศึกษา
นอกจากจะมี “หนูต่างดาว” เหล่านี้แล้ว ห้องปฏิบัติการยังมีข้อมูล database (Mouse Genome Informatics : www.informatics.jax.org) เกี่ยวกับหนูแทบทั้งหมดด้วย เช่น ชื่อยีน มีบรรณานุกรมการตั้งชื่อสายพันธุ์หนูชนิดต่าง ๆ และชื่อชิ้นส่วนต่าง ๆ ของยีนหนูตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน จนกระทั่งเป็นหนูที่เจริญวัยเต็มที่ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหนู (มนุษย์หนู) สามารถติดต่อสื่อสารกับมนุษย์แมลงหวี่ มนุษย์ค้างคาว มนุษย์ไก่ มนุษย์หมา ฯลฯ ได้เข้าใจตรงกัน
โครงการหนึ่งที่กำลังเป็นที่สนใจมาก คือ โครงการ Complex Trait Consortium ซึ่งพยายามหาสมมติฐานการเกิดโรคหลายโรคว่า เกิดจากการที่ยีนหลายตัวทำงานเสริมกันหรือต่อต้านกัน นี่เป็นเรื่องที่แพทย์และนักพันธุศาสตร์ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ
การทดสอบยาที่สังเคราะห์ได้ใหม่ ๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะตามปกติยีนจะสร้าง enzyme และ receptor ดังนั้นถ้ายีนตัวนั้นถูกกำจัดออกไปหรือถูกทำให้หมดสมรรถภาพ ยาที่หนูได้รับเข้าไปก็สามารถบอกผลที่เกิดจากการไม่มียีนตัวนั้นได้
แม้หนูจะเป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาดไม่เท่าคน แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบวิธีที่ทำให้หนูเป็นสัตว์ทดลองทางจิตวิทยาได้ เช่น อาจทำให้หนูมีอาการซึมเศร้าหรือเป็นโรค schizophrenia หรือ autistic
ในวารสาร Nature ฉบับที่ 571 ประจำวันที่ 25 กรกฎาคม ปี 2019 นักวิจัยได้รายงานการศึกษาเรื่อง อาการซึมเศร้าที่เกิดกับหนูเวลามันถูกโยนน้ำ โดยนักวิจัยได้ติดตามดูอาการว่า หนูจะพยายามลอยตัวในน้ำได้นานเพียงใด เพราะตามทฤษฎีแล้ว หนูที่มีอาการซึมเศร้าจะหยุดว่ายน้ำเร็วกว่าหนูที่มีความสุข ความเชื่อเรื่องนี้ได้มีมานานแล้ว แต่นักวิจัยปัจจุบันยังไม่เชื่อเรื่องนี้นัก และคิดว่าการทดสอบให้หนูว่ายน้ำ เป็นวิธีที่ใช้ไม่ได้ดีในการศึกษาอาการซึมเศร้าในคน เพราะไม่มีใครแน่ใจว่า การที่หนูหยุดว่ายน้ำเพราะมันเรียนรู้ว่า ทันทีที่มันหยุดว่ายน้ำ อีกไม่นานนักวิจัยก็จะยกตัวมันขึ้นจากน้ำ หรือเพราะมันสิ้นหวัง จึงปล่อยให้ตัวมันจมน้ำตายกันแน่
เพราะการทดลองทำนองนี้ เป็นการทารุณสัตว์อย่างชัด ๆ ดังนั้นสมาคมที่ส่งเสริมการกระทำต่อสัตว์อย่างมีจริยธรรม (People for the Ethical Treatment of Animals (PETA)) จึงได้กระโดดเข้ามาลุยเรื่องนี้ โดยได้ขอให้สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติของสหรัฐ (NIMH, National Institute of Mental Health) ที่เมือง Bethesda ในรัฐ Maryland ระงับการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยนี้ เพราะจะทำให้ทำให้สัตว์ตัวน้อย ๆ รู้สึกกลัว กังวล เครียด และมีอาการซึมเศร้า นอกจากนี้ผลการทดลองก็ไม่สามารถชี้ชัดถึงสาเหตุได้
ความจริงนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้การทดสอบให้สัตว์ว่ายน้ำ มาเป็นเวลานานร่วม 50 ปีแล้ว เพราะต้องการศึกษาผลของยา selective serotonin reuptake inhibitor (SSRI) ซึ่งเป็นยาต่อต้านอาการซึมเศร้า เช่น ยา Prozac โดยให้หนูกินยานี้ก่อนจะถูกโยนน้ำ เพราะเชื่อว่า การรู้ตัวว่ามันจะถูกโยนน้ำ จะทำให้หนูเครียด และมีอาการซึมเศร้าเหมือนคน แต่ผลการทดลองให้การสรุปที่ขัดแย้งกันเองหลายต่อหลายครั้ง
ดังนั้นบริษัทยาใหญ่ ๆ เช่น Roche , Janssen และ AbbVie จึงประกาศไม่สนับสนุนการโยนหนูลงน้ำอีกต่อไป ซึ่งหน่วยงาน PETA ก็เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า การทดลองปลูกเซลล์สมองขนาดเล็ก (mini-brain) จาก stem cell ของมนุษย์น่าจะทำให้การใช้หนูเป็นสัตว์ทดลองเรื่องอาการซึมเศร้าหมดไป ซึ่งมนุษย์หนูหลายคนก็เห็นด้วย และคิดว่าน่าจะใช้การทดลองรูปแบบอื่นที่ไม่โหดร้ายนัก เช่น ดูความสนใจในอาหารที่มันชอบกิน เพราะถ้ามันเป็นโรคซึมเศร้าจริง มันก็จะไม่อยากกินอะไร ๆ เลย และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือว่า ความผิดปกติทางจิตใจของมนุษย์นั้น เกิดจากสาเหตุที่ซับซ้อน และคนแต่ละคนก็อาจจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ จากสาเหตุที่หลากหลาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ยาหลายขนาน เพราะโรคซึมเศร้ามิได้เป็นโรคที่เกิดจากสาเหตุเพียงหนึ่งเดียว แต่เป็นผลที่เกิดจากพหุสาเหตุ
เมื่อเริ่มต้น หนูเป็นปรสิตที่ชอบขโมยของมนุษย์กิน (kleptoparasite) มาปัจจุบันนี้ หนูกำลังตอบแทนบุญคุณของคนที่ให้มันอยู่กินกับเรามาเป็นเวลานับหมื่นปีแล้ว
อ่านเพิ่มเติมจาก The Rise of the Mouse, Biomedicine's Model Mammal. ในวารสาร Science ฉบับที่ 288 วันที่ 14 เมษายน 2000
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์