ประธานแผนงานวิจัยเข็มมุ่ง ด้านการบริหารจัดการน้ำ เตือนอีอีซีรับมือกับน้ำล่วงหน้าก่อนเหมือนปี 2563 ที่ผ่านมา เสนอแนะให้มีมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากแผนแม่บท จัดตั้งองค์กรเฉพาะเพื่อการบริหารจัดการน้ำทุกภาคส่วนในอีอีซี พร้อมตั้งเป้าขยายผลการบริหารจัดการน้ำใน 4 เขื่อนหลัก และขยายงานโครงการชลประทานในแผนวิจัยปี 2
วันนี้ (5 ม.ค.) รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ประธานแผนงานวิจัยเข็มมุ่ง ด้านการบริหารจัดการน้ำ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดเผยว่า จากแนวคิดการพัฒนาเทคนิคและระบบใหม่ให้เชื่อมโยงกับระบบวางแผนและบริหารน้ำในปัจจุบัน โดยเลือกประเด็นสำคัญมาพัฒนาเทคนิคเพื่อกลับเข้าไปใส่ในระบบที่มีอยู่ด้วยเทคนิคใหม่ได้ ตลอดจนพัฒนาการเชื่อมโยงของระบบและทดลองการรันคู่ขนานกับระบบปัจจุบันเพื่อการทดสอบได้ ซึ่งในปีแรกเป็นการวิจัยพัฒนาต้นแบบ ปีที่ 2 ประยุกต์ใช้ร่วมกับหน่วยงานปฏิบัติ และปีที่ 3 วิจัยเสริมพร้อมถ่ายทอดผลงานวิจัยให้กับหน่วยงานปฏิบัติต่อไป
ผลการวิเคราะห์สภาพน้ำในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) พบว่ามีโอกาสเกิดภาวะแล้งเช่นปี 2563 โดยเฉพาะเมื่อมีโครงการพัฒนาเพิ่มขึ้นและสภาพภาวะอากาศสุดโต่งเกิดขึ้น การนำน้ำจากภาคกลางไปช่วยจะเป็นไปได้ยากขึ้นจึงจำเป็นต้องมีมาตรการเสริมเพิ่มจากแผนแม่บทของพื้นที่อีอีซี ทั้งด้านจัดหา เก็บกัก บริหารน้ำ การจัดการความขัดแย้งและการจัดการน้ำด้านอุปสงค์เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายในอนาคต การขยายผลการจัดการน้ำด้านอุปสงค์ต้องการกติกา กฎระเบียบรองรับ เพื่อให้ขับเคลื่อนทุกภาคส่วนอย่างมีมาตรฐาน โดยเริ่มจากโครงการใหม่และโครงการขนาดใหญ่ที่พร้อมจะลงทุน รวมถึงมาตรการช่วยเหลือสนับสนุนที่จำเป็น มีศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการประหยัดน้ำและการใช้น้ำซ้ำให้ผู้ประกอบการเห็นเป็นตัวอย่าง และใช้อบรมผู้ประกอบการที่สนใจ ซึ่งเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาต่อไป
“คณะวิจัยเห็นว่าควรกำหนดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบด้านการบริหารจัดการน้ำทุกภาคส่วนในเขตอีอีซีเป็นการเฉพาะ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและมีประสิทธิภาพ เป็นศูนย์รวมที่ครอบคลุมทั้งน้ำต้นทุนและการใช้น้ำทุกภาคส่วน โดยมีหน้าที่เบื้องต้นในการกำหนดกติกาการใช้น้ำ การจัดลำดับความสำคัญการใช้น้ำ การจัดสรรน้ำ การเตรียมแผนรองรับกรณีฉุกเฉิน ซึ่งจะต้องคำนึงถึงขอบข่ายและความทับซ้อนอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการลุ่มน้ำ ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561”
นอกจากนี้ยังควรศึกษารูปแบบต่าง ๆ ด้านการเงินสำหรับโครงการด้านน้ำ เริ่มจากการศึกษาและประเมินสถานะการลงทุนที่มีอยู่ เพื่อนำมาวิเคราะห์ ระบุช่องว่างการลงทุนและการจัดหาเงินทุน เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการลงทุนในโครงการด้านน้ำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นพื้นที่ที่มีศักยภาพและสามารถดึงดูดนักลงทุนได้ เช่น พื้นที่อีอีซีและในเขตเมือง ซึ่งพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการลงทุนสูง และเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ ซึ่งผลการวิจัยได้นำสู่ข้อเสนอแนะการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะจัดองค์กรเฉพาะขึ้นในอนาคตสำหรับพื้นที่อีอีซี รวมทั้งเผยแพร่และชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการบริการจัดการกลุ่มลุ่มน้ำตะวันออก สภาผู้แทนราษฎร และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ของ สนทช.
ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการเขื่อนภูมิพล พบว่าชุดต้นแบบชุดโปรแกรมการจำลองการปล่อยน้ำช่วยให้ตัดสินใจปล่อยน้ำได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการเพิ่มน้ำต้นทุนของเขื่อนตามเป้าหมายของงานวิจัย หลังการเรียนรู้ข้อมูลในอดีต 10 ปีย้อนหลังมาใช้ในการปล่อยน้ำช่วงฤดูฝนในปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่แล้ง เทียบกับการปล่อยน้ำตามเกณฑ์ที่มีอยู่ พบว่าสามารถเสนอค่าปริมาณการปล่อยน้ำที่เพิ่มเติมได้เทียบกับวิธีการที่ใช้อยู่ นอกจากนี้ยังพัฒนาแบบจำลองและติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำบาดาลอัตโนมัติ เพื่อติดตามสถานการณ์การใช้น้ำบาดาลในพื้นที่เจ้าพระยาตอนบน และศักยภาพที่มีพร้อมกับถ่ายทอดให้กับผู้บริหารกรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยต่อไป ขณะที่ “ท่อทองแดงโมเดล” สามารถสรุปแนวปฏิบัติและบทเรียนปรับปรุงการทำงานระหว่างเจ้าหน้าที่ชลประทานกับกลุ่มผู้ใช้น้ำให้พูดภาษาเดียวกันได้บนฐานของข้อมูลและความเข้าใจกันมากขึ้น
ประธานแผนงานวิจัยเข็มมุ่งฯ ระบุว่า งานวิจัยทำให้เห็นโอกาสในการบริหารน้ำที่ลดความสูญเสียเนื่องจากมีการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคใหม่ และมีระบบจัดการข้อมูลที่ทันกาลมากขึ้น การทดลองในพื้นที่นำร่องทำให้เกิดการเรียนรู้ทั้งกับนักวิจัย ผู้ปฏิบัติและผู้ใช้น้ำ ทำให้มีความเข้าใจและการมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งนี้ การบริหารน้ำในเขื่อนจะขยายผลให้ครอบคลุม 4 เขื่อนหลักของภาคกลางตอนล่าง และขยายการทำนายฝนจาก 14 วัน เป็นฤดูกาลเพื่อให้บริหารจัดการน้ำล่วงหน้าได้ดีขึ้น โดยจะทำงานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและกรมชลประทานต่อไป รวมถึงขยายพื้นที่การบริหารน้ำในโครงการชลประทานให้ครอบคลุมทั้งโครงการชลประทานท่อทองแดงในระยะที่ 2 เพื่อเป็นพื้นที่ตัวอย่างในการนำเทคโนโลยีและการสื่อสารมาใช้ในโครงการชลประทานอื่นต่อไป