คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึง Samson ว่าเป็นนักรบยิวผู้มีพละกำลังมหาศาล ซึ่งได้ต่อสู้กับกองทัพชาว Philistine ที่ป่าเถื่อนและพิชิตจนไม่มีใครสามารถต่อกรได้ แต่ Samson ถูกนาง Delilah ล้วงถามความลับเกี่ยวกับสาเหตุของการมีพลัง และ Samson ได้อ้างถึงเส้นผมบนศีรษะ เมื่อถูกนาง Delilah มอมเหล้าจนหมดสติ นางจึงจับ Samson ตัดผม ทำให้พลังในร่างกายของเขาอันตรธาน และถูกจับไปทรมานจนตาบอดทั้งสองข้าง แต่ในที่สุด Samson ก็ได้ทูลขอพรจากพระเจ้าเพื่อให้สามารถใช้พลังเป็นครั้งสุดท้ายในการทำลายกำแพงและเสาในวิหาร จนสถานที่เคยจองจำเขาและเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวPhilistine พังพินาศ ทำให้นักรบชาว Philistine รวมทั้งตนเองต้องเสียชีวิตไปในเวลาเดียวกัน
ตำนานเรื่องนี้อ่านสนุก ถ้าไม่คิดอะไรมาก ว่าเส้นผมจะมีพลังได้อย่างไร แต่เมื่อ Eric Altschuler ซึ่งเป็นจิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัย California ที่ San Diego ในสหรัฐอเมริกา ได้วิเคราะห์บุคลิกภาพ ของ Samson ตามที่ปรากฏในคัมภีร์แล้วเขามีความเห็นว่า Samson เป็นโรคจิตแนว antisocial personality disorder (ASPD) หรือความผิดปกติในการมีจิตใจที่ต่อต้านสังคม นิยมการต่อสู้ รวมถึงโปรดปรานการทะเลาะวิวาทกับบุคคลอื่นในระดับที่รุนแรงมาก Samson จึงได้สังหารนักรบชาว Philistine ไปประมาน 1,000 คน และยังได้ใช้ไฟเผาผลาญอาคาร เป็นการแก้แค้นด้วย โดยไม่รู้สึกเสียใจในการกระทำของตน อีกทั้งไม่สนใจด้วยว่าชีวิตตนจะเป็นอันตรายหรือไม่ ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่า Delilah ได้เคยพยายามฆ่าตนเองมาแล้วถึง 3 ครั้ง ก็ยังบอกความลับแก่นาง
การสืบค้นประวัติในวัยเด็ก ของ Samson แสดงให้เห็นว่า Samson ชอบพูดปด นิยมใช้ไฟเผาทรมานสัตว์ โปรดปรานการลักขโมย และชอบรังแกคนอื่น อาการลักษณะนี้ Altschuler เรียกว่าเป็นความผิดปกติด้านบุคลิกภาพ ซึ่งถ้าพิจารณาตามตามเกณฑ์ในคู่มือ Diagnostic and Statitical Manual Mental Disorders (DSM) Samson ก็ป่วยเป็นโรคจิตอย่างสมบูรณ์แบบAltschuler ได้นำบทวิเคราะห์นี้เผยแพร่ในวารสาร Archives of General Psychiatry เมื่อปี 2001 ซึ่งได้ทำให้คนทุกคนในวงการจิตวิทยาและวงการศาสนาตื่นเต้นพอสมควร เพราะเป็นงานวิจัยบุกเบิกที่ได้วิเคราะห์บุคลิกภาพของบุคคลในคัมภีร์ไบเบิล
ปัจจุบันการวิเคราะห์โรคทั้งทางกายและจิตใจที่ทำให้บุคคลที่มีชื่อเสียงในอดีตกำลังเป็นที่น่าสนใจ การประชุมเรื่องทำนองนี้ในอดีตชื่อ Clinicopathologic Conference มีข้อสรุปมากมายที่น่าสนใจ เช่น จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์มหาราชทรงประชวรด้วยไข้ไทฟอยด์ (Typhoid) แล้วจึงทรงประชวรเป็นอัมพาต, คีตกวี Wolfgang Amadeus Mozart ได้ล้มป่วยด้วยโรคปวดข้อ (rheumatism), นักประพันธ์ Edgar Poe ก็เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า
สำหรับกรณีของจักรพรรดิโรมัน Claudius ซึ่งสวรรคตเมื่อ ค.ศ. 54 นั้น คณะแพทย์ประจำพระองค์ได้รายงานว่า พระองค์ทรงปวดพระนาภีอย่างรุนแรง ทรงพระอาเจียน และทรงหายพระทัยติดขัด พระอาการทั้งหลายนี้ชี้นำให้แพทย์ William A. Valente แห่งมหาวิทยาลัย Maryland ในประเทศสหรัฐอเมริกา รู้ว่าพระองค์ทรงถูกวางยาพิษ จากการเสวยเห็ดพิษที่พระมเหสี Agrippina เป็นผู้จัดถวาย ซึ่งก็ตรงกับความเห็นของนักประวัติศาสตร์ที่ว่า พระนาง Agrippina ทรงวางแผนสังหารจักรพรรดิ Claudius เพื่อให้ Nero ซึ่งเป็นพระโอรสในพระนางเสด็จขึ้นครองราชย์แทนเจ้าชาย Beittanicus ซึ่งเป็นรัชทายาทที่จักรพรรดิ Claudius ทรงโปรดปราน
สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตของนักการเมืองในอดีตนั้นก็หลากหลาย เช่น เมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1924 แพทย์ประจำตัวของ Vladimir Lenin ซึ่งเป็นรัฐบุรุษแห่งรัสเชียได้ลงบันทึกว่าก่อนจะเสียชีวิตเพียงเล็กน้อย Lenin มีอาการเสมือนจะเป็นลม และทางการได้พยายามปกปิดข่าวที่บอกสาเหตุการเสียชีวิตของ Lenin มาเป็นเวลาร่วม 40 ปี จนกระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครรู้ชัดว่าตายด้วยน้ำมือใคร และเพราะอะไร ดังนั้น การเดาสาเหตุจึงมีหลากหลาย เช่น บางคนคิดว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Lenin ตายคือเป็นโรค syphilis, บางคนอ้างว่าตายเพราะเส้นเลือดในสมองแตก หรือเป็นโรคหัวใจวาย หรือตายเพราะตะกั่วเป็นพิษ ข้อสรุปที่แตกต่างกันมากนี้ทำให้ทางการต้องนำสมองของ Lenin ไปเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ เพื่อจะได้ตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงในภายหลัง
แต่เมื่อนักประวัติศาสตร์กลับไปอ่านสมุดบันทึกของแพทย์ที่รักษา Lenin และพบว่า ก่อนเสียชีวิตเพียง 3 เดือน Lenin พูดแทบไม่ได้และพูดได้ครั้งละคำ ร่างกายซีกขวาเป็นอัมพฤกษ์ กล้ามเนื้อกระตุกเป็นบางเวลา และยังมีอาการหวาดระแวงว่าจะมีคนตามฆ่าด้วย
ในที่ประชุม Historical Clinicopathological Conference (HCPC) ประจำปีครั้งที่ 19 ที่เมือง Baltimore รัฐ Maryland ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 ก็มีการนำเสนอสาเหตุการเสียชีวิตของเซเล็บหลายคน เช่น คีตกวี Ludwig von Beethoven, นักผจญภัย Christopher Columbus, กษัตริย์ Herod แห่งอิสราเอล
การวินิจฉัยทำนองนี้นักประวัติศาสตร์หลายคนไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าแพทย์บางคนกำลังพยายามจะเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ และข้อมูลที่เปิดเผยใหม่อาจทำให้คนที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ถูกวิเคราะห์ได้รับความเสียหาย เพราะจิตใจได้รับความกระทบกระเทือนมาก
ในความเป็นจริง การประชุม HCPC ได้ถือกำเนิดเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1993 เมื่อ Philip Mackowiak นักระบาดวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Maryland School of Medicine ที่ Baltimore ในสหรัฐอเมริกา ได้อ่านอัตชีวประวัติของนักประพันธ์ เช่น Edgar Allan Poe ที่เสียชีวิตในปี 1849 และพบว่าก่อนตาย Poe แสดงอาการประหลาดที่น่าสนใจมากมาย Mackowiak ซึ่งต้องการหาสาเหตุ จึงนำข้อมูลที่ได้มาบรรยายให้ที่ประชุมฟัง แล้ววิเคราะห์สถานการณ์โดยใช้ความรู้แพทยศาสตร์ปัจจุบัน ผลที่เกิดตามมา คือ ที่ประชุมได้ให้ความสนใจมาก
หลังจากนั้น Mackowiak ก็ได้จัดประชุม HCPC อีกคำรบหนึ่งเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตของคนที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ โดยการอาศัยหลักฐานต่างๆ เท่าที่หาได้มาช่วยในการวิเคราะห์ เช่น ในกรณีของ Poe ซึ่งคนส่วนมากรู้ว่า Poe ติดเหล้า และเสียชีวิตด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง แต่เมื่อ Mackowiak ได้อ่านบันทึกของแพทย์ที่รักษา Poe เขากลับพบว่าแพทย์ได้บรรยายอาการป่วยของ Poe จนทำให้คนอ่านรู้สึกเสมือนว่า Poe เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า Mackowiak จึงลงความเห็นว่า Poe เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง
สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตของ Lenin นั้น ยังไม่มีการสรุป Harry Vinters แห่งวิทยาลัยแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย California ที่ Los Angeles ได้พบว่า หลังจากที่ได้อ่านรายงานการชันสูตรศพของ Lenin ซึ่งมีข้อมูลวิทยาศาสตร์มากพอสมควร Vinters มีความเห็นว่า Lenin ไม่เคยมีปัจจัยเสี่ยงใดๆ ที่ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ เช่น ไม่ดื่มเหล้า (ซึ่งเป็นข้อมูลที่แทบไม่น่าเชื่อสำหรับคนหัวรุนแรงอย่าง Lenin) เกลียดการสูบบุหรี่ ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เพราะไตอยู่ในสภาพปกติ และหัวใจไม่พองโต แม้วิถีชีวิตของ Lenin จะเต็มไปด้วยความเครียด เพราะพ่อของ Lenin มีปัญหาเรื่องเส้นเลือดในสมองอุดตัน จนเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 54 ปี Lenin เองก็มีอาการเส้นเลือดอุดตัน Vinters จึงคิดว่าอาการพูดไม่ได้และอัมพฤกษ์แสดงให้เห็นว่า Lenin ตายด้วยโรค ischemic infarction และกล้ามเนื้อบางส่วนได้ตายไป เพราะเส้นเลือดอุดตันและสมองมีเส้นเลือดตีบมากมาย
แต่ Lev Lurie ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย St.Petersburg ในประเทศรัฐเซีย ไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์นี้ โดยให้เหตุผลว่า ในปี 1822 สุขภาพของ Lenin ได้เริ่มทรุดลงๆ เพราะมีอาการเครียดมากหลังจากที่ความต้องการจะกำจัด Stalin แต่ Stalin รู้ตัวก่อน จึงวางแผนยึดอำนาจ และ Lurie คิดว่า Stalin วางยาพิษ Lenin จึงตายเพราะถูกวางยา Lurie ยังได้รายงานต่ออีกว่า คนเป็นอัมพฤกษ์จะไม่มีอาการชัก แต่ Lenin ชัก ดังนั้น เขาจึงคิดว่ายาพิษคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Lenin เสียชีวิต
ในปี 2014 หอจดหมายเหตุแห่งราชสำนักของอังกฤษ (Royal Archives) ได้นำเอกสารหนา 33,000 หน้า ซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้า George ที่ 3 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งได้สูญเสียอเมริกา เพราะพระองค์ทรงมีพระอาการสติวิปลาส นำออกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต
สมเด็จพระเจ้า George ที่ 3 ทรงเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์อังกฤษที่ครองราชย์นานที่สุด คือ ตั้งแต่ ค.ศ. 1760-1820 (ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์-พระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ในรัชสมัยของพระองค์ คือ ในปี 1776 รัฐทั้ง 13 รัฐในอเมริกาได้ประกาศเอกราช ซึ่งการสูญเสียอาณานิคมนี้ทำให้พระองค์ทรงเสียพระทัยมาก เอกสารยังได้บันทึกการสู้รบทางเรือที่บริเวณนอกอ่าว Chesapeake ซึ่งกองทัพเรือฝรั่งเศสมีชัยชนะเหนือกองทัพเรืออังกฤษ ในปี 1781 ด้วย และยังมีสำเนาจดหมายที่นักสำรวจชื่อ James Cook ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้กล่าวถึงหน่วยงานราชการลับ ซึ่งได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้า George ที่ 3 ให้ทรงทราบว่า พระองค์ทรงถูกปองร้ายโดยกษัตริย์ฝรั่งเศส
แม้สมเด็จพระเจ้า George ที่ 3 จะทรงครองบัลลังก์เป็นเวลานานร่วม 60 ปี แต่ก่อนจะสิ้นพระชนม์ 10 ปี พระองค์ทรงมีพระสติฟั่นเฟือนมาก จนพระราชโอรสต้องทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน และได้เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี 1852 เป็นสมเด็จพระเจ้า George ที่ 4 หลังจากที่สมเด็จพระราชบิดา George ที่ 3 เสด็จสวรรคต
ส่วนกษัตริย์ที่ทรงเสียพระสติและสิ้นพระชนม์โดยไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริง ก็คงไม่มีใครเกินสมเด็จพระเจ้า Ludwig ที่ 2 แห่งแคว้น Bavaria ในประเทศเยอรมนี เพราะเมื่อสมเด็จพระราชบิดา Maximillian ที่ 2 เสด็จสวรรคตในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1864 นั้น พระโอรสนาม Ludwig ที่ 2 วัย 18 ชันษา ได้เสด็จขึ้นครองราชย์แทน และทรงมีพระอัธยาศัยแปลกประหลาด เช่น ทรงโปรดปรานการทรงม้าในยามวิกาล ตั้งแต่ 2 ทุ่มไปจนถึงตี 3, ทรงโปรดให้พนักงานรับใช้ติดตามพระองค์โดยตลอด เพื่อทำหน้าที่เปลี่ยนม้า และถวายพระกระยาหาร และทรงโปรดปรานข้าราชการบริพารที่จงรักภักดี ด้วยการพระราชทานทรัพย์สินเงินทองให้มากมาย
สำหรับการทรงงานในยามค่ำคืนนั้น เนื่องจากพระองค์ทรงไม่ประสงค์จะปฏิบัติเยี่ยงสามัญชนทั่วไปที่ทำงานกลางวันและพักผ่อนกลางคืน แม้แต่ในพระราชวังหรือห้องบรรทมก็ทรงโปรดให้เปลี่ยนภาพดวงอาทิตย์เป็นดวงจันทร์ เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 15 พรรษา ได้เสด็จไปทอดพระเนตรอุปรากร Lohengrin ของ Richard Wagner และทรงคลั่งไคล้ในโอเปร่าเรื่องนี้มาก ถึงขนาดที่ทรงเชื่อว่าในอดีตพระองค์ทรงเป็นอัศวินคนหนึ่งที่ช่วยหญิงสาวให้รอดชีวิตโดยที่นางไม่เคยถามว่าเขาคือใคร นอกจากจะทรงโปรดปรานเนื้อหาของโอเปร่าแล้ว ยังทรงโปรดปราน Wagner เป็นพิเศษด้วย
แต่ Wagner เป็นคนมีหนี้สินมาก จนต้องหลบหนีเจ้าหนี้ตลอดเวลา ดังนั้น กษัตริย์ Ludwig จึงโปรดให้เลขานุการในพระองค์ตามตัว Wagner จนพบ และทรงประทานบ้านพักกับทรัพย์สินให้ Wagner ใช้อย่างเต็มที่ แต่ Wagner จะต้องอยู่ใกล้พระองค์ที่ Munich จนทำให้ชาว Bavaria ปรารภว่ากษัตริย์ Ludwig ทรงทุ่มเทเงินทองและเวลาให้ Wagner อย่างไม่สมควร ยิ่งเมื่อ Wagner เข้ามาก้าวก่ายเรื่องการบริหารราชการ ชาวเมืองก็ยิ่งไม่พอใจ จนต้องยื่นคำขาดให้กษัตริย์ Ludwig ทรงเลือกระหว่าง งานหลวง กับ งาน Wagner ในที่สุดกษัตริย์ Ludwig ทรงเลือกงานหลวงซึ่งทำให้ Wagner ต้องจากไป แต่กษัตริย์ Ludwig ก็ยังทรงระลึกถึง Wagner ซึ่งเป็นไอดอล จนกระทั่ง Wagner เสียชีวิต
ในปี 1868 กษัตริย์ Ludwig ทรงมีพระราชสาส์นถึง Wagner ว่า พระองค์ทรงประสงค์จะสร้างปราสาท Vorderhohenschwangau บนยอดเขาที่อยู่ใกล้น้ำตก Pollat ให้เหมือนปราสาทที่อัศวินเยอรมันในอดีตเคยพักอาศัย เพราะพระองค์ทรงประสงค์จะมีชีวิตอยู่ในยุคนั้น
ปราสาท Neuschwansteen (New Swan Stone) จึงถือกำเนิดในสไตส์ baroque ที่สวยโอ่อ่า และภายในปราสาทเต็มไปด้วยศิลปะมูลค่ามากมหาศาล เหมือนพระราชวัง Versailles ของฝรั่งเศส
ความหรูหราและสวยงามของพระราชวังทำให้กษัตริย์ Ludwig ทรงโปรดให้เป็นที่ประทับเพื่อหลบลี้หนีความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง พระองค์ทรงโปรดให้ข้าราชบริพารแต่งกายเหมือน ขุนนางในสมเด็จพระเจ้า Louis ที่ 14 และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อย่างฟุ่มเฟือย เช่น ทรงสร้างราชรถทองคำ ทรงเดินทางจาก Munich ไป Innsbruck ในออสเตรียบ่อย
ในที่สุดเมื่อถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1886 องค์รัชทายาทนาม Luitpold ได้ทรงประกาศให้ปวงชนทราบว่า กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 ทรงเสียพระสติ และ Luitpold ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน จากนั้นกษัตริย์พระองค์ใหม่ได้กักบริเวณมิให้กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 เสด็จออกนอก Munich อีกเลย
ในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1886 กษัตริย์ Ludwig ได้เสด็จไปเดินเล่นกับแพทย์ประจำพระองค์ชื่อ Bernhard von Gudden ครั้นเมื่อพระองค์ไม่เสด็จกลับ ทหารองครักษ์ได้ออกตามหา และพบร่างคนสองคน ลอยอยู่ในทะเลสาบห่างจากฝั่ง 20 เมตร
ปริศนาที่ยังไม่มีใครทราบจนทุกวันนี้ ว่านี่เป็นฆาตกรรม อุบัติเหตุ หรืออัตวินิบาตกรรม
อ่านเพิ่มเติม จาก historical clinicopathological conference ในอินเทอร์เน็ต
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์