สกสว.และทีมวิจัยการบริหารจัดการน้ำขานรับนโยบาย UN ร่วมรณรงค์เชิญชวนชาวไทยร่วมกันอนุรักษ์น้ำและความตระหนักในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีสติและมีวิชาการ ภายใต้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมโลกผ่าน ‘น้ำ’ เนื่องในโอกาสวันน้ำโลกประจำปี 2563
รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการแผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม การบริหารจัดการน้ำ เปิดเผยว่า จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ให้ผลค่อนข้างชัดเจนว่า วิกฤติการณ์จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้การแปรปรวนของวงจรน้ำมีมากขึ้น ลดความสามารถในการทำนายของปริมาณน้ำที่ใช้ได้ ความต้องการใช้น้ำ และส่งผลต่อคุณภาพน้ำ
“เกิดการขยายสภาพการขาดแคลนน้ำ จนมีผลต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับโลก ในบางพื้นที่ยังส่งผลต่อการเกิดสภาพภูมิอากาศสุดโต่ง การเพิ่มขื้นของระดับน้ำทะเล จนกล่าวได้ว่าเราสามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้จากการเปลี่ยนแปลงของวงจรน้ำ”
รายงานการพัฒนาน้ำของโลกประจำปี ค.ศ. 2020 ขององค์การสหประชาชาติ เรื่อง “น้ำและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งออกสู่สาธารณชนในวันที่ 23 มีนาคม 2563 ได้สรุปไว้ว่า สภาพภูมิอากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงและจะเปลี่ยนแปลงต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อสังคมผ่าน “น้ำ” โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะส่งผลต่อปริมาณการใช้งานได้ของน้ำทั้งปริมาณและคุณภาพ อันเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
นับเป็นภาวะคุกคามต่อสิทธิมนุษยชนพื้นฐานต่อการเข้าถึงน้ำและสุขาภิบาลของประชากรโลกจำนวนมาก การปรับเปลี่ยนของวงจรน้ำยังส่งผลต่อความเสี่ยงการการผลิตพลังงาน ความมั่นคงด้านอาหาร สุขภาพของมนุษย์ การพัฒนาเศรษฐกิจและการลดความจน ซึ่งจะทำให้การบรรลุต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนมีความยากลำบากมากขึ้น
เนื่องในวันน้ำโลกปีนี้ องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้เน้นย้ำให้มีการกำหนดนโยบายและการวางแผนแบบบูรณการทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค การตัดสินใจที่ยากขึ้นในการจัดสรรน้ำแก่ผู้ใช้ภาคส่วนต่างๆ รวมถึงกิจกรรมการลดและปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศ องค์การสหประชาชาติจึงเรียกร้องต่อประชาคมโลกให้ร่วมมือ
ได้แก่ 1.ปฏิบัติการทันที เพื่อร่วมกับควบคุมการเพิ่มของอุณหภูมิไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส 2.พิจารณาน้ำเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ 3.ปรับปรุงการดำเนินการบริหารจัดการน้ำ 4.ปรับตัวด้วยความร่วมมือแบบข้ามพรมแดน 5.ปรับแนวความคิดด้านการเงิน
ขณะที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ก็ได้เรียกร้องให้มีการปรับตัวด้านน้ำจากผลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อป้องกันสุขภาพและชีวิต ใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก และเรียกร้องให้ทุกคนมีบทบาทโดยไม่รีรอ ด้วยการ “เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และกำหนดบทบาท” ในการนำเรื่องน้ำเข้าเป็นประเด็นหลักของแผนปฏิบัติการหาคำตอบด้านน้ำและสุขาภิบาล กำหนดบทบาทตนเองที่เกี่ยวข้องกับน้ำ และเข้าร่วมกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ด้านแนวทางการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยในระยะที่ผ่านมา รศ. ดร.สุจริต ระบุว่าได้มีการจัดระบบการวางแผนภายใต้แผนแม่บทของยุทธศาสตร์ซาติ และ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ เริ่มบูรณการการวางแผนด้านน้ำในระดับต่างๆ และมีมาตรการรับมือต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการบริหารน้ำระดับชุมชนให้พึ่งพาตนเองได้ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในพื้นที่ ภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณของประเทศ
“จะต้องพัฒนาหาแหล่งทุนที่มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจากภาคเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศในโอกาสต่อไป เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำ การเพิ่มผลิตผลด้านน้ำ ภายใต้การมีส่วนร่วมและธรรมาภิบาลที่ดี ที่ผ่านมา สกสว.ได้สนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาทั้งด้านนโยบายด้านน้ำ การพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีที่ใช้ในการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการวิจัยเชิงพื้นที่เพื่อสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับชุมชนมาตลอด”
สกสว.เห็นว่ายังจำเป็นต้องกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในการบริหารจัดการน้ำ ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง เพื่อการรับมืออย่างมีสติ มีวิชาการ และมีระบบ ตามข้อเรียกร้องของสหประชาชาติ “สกสว.มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนและส่งเสริมงานวิจัยทางด้านการบริหารจัดการน้ำต่อไป โดยเฉพาะแผนงานวิจัยด้านการบริหารจัดการน้ำ เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติ การวางแผน การดำเนินการด้านน้ำ การแก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางน้ำทั้งในระดับประเทศและชุมชน การเตรียมตัวรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลกให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งพร้อมเข้าร่วมการเผยแพร่ถ่า ยทอดความรู้และประสบการณ์ที่ได้ ผ่านการจัดเวทีแสดงผลงาน เผยแพร่ แนวคิดจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ