เอเจนซีส์/รอยเตอร์ – นักการทูตหญิงจากฟิลิปปินส์ประจำสำนักงานใหญ่สหประชาชาติที่นิวยอร์ก มีผลยืนยันติดเชื้อเมื่อวานนี้(12 มี.ค) ที่ทำการสถานทูตฟิลิปปินส์ที่ย่านมิดทาวน์ แมนแฮตตันถูกสั่งปิดตาย ด้านแหล่งข่าวใกล้ชิดเปิดเผยประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ วิตกถึงการเข้าใกล้สัมผัสผู้มีผลติดเชื้อโควิด-19เป็นบวกหลังโฆษกประธานาธิบดีบราซิล ฌาอีร์ โบลโซนารู ที่พบกับทรัมป์ที่มาบ้านพักมาราลาโกเมื่อวันเสาร์(7 มี.ค) ล้มป่วย
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้(13 มี.ค)ว่า นักการทูตหญิงที่ไม่เปิดเผยนามประจำสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นิวยอร์ก ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อวานนี้(12) ส่งผลทำให้กลายเป็นนักการทูตรายแรกที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19ที่สหประชาชาติ
โดยคีรา อาซูเซนา(Kira Azucena)รักษาการเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำสหประชาชาติกล่าวในหนังสือว่า “นับตั้งแต่วันนี้ สถานที่ทำการทูตฟิลิปปินส์จะถูกปิดตาย และเจ้าหน้าที่ประจำทุกคนจะถูกกักกันโรค และควรที่จะพบแพทย์หากเริ่มมีอาการ ทางเราสันนาฐานเบื้องต้นว่าเวลานี้พวกเราทุกนได้ติดเชื้อแล้ว”
อ้างอิงจากสหประชาชาติพบว่า มีเจ้าหน้าที่การทูตฟิลิปปินส์ประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ยูเอ็นจำนวน 12 คน โดยสำหรับนักการทูตหญิงฟิลิปปินส์ที่ล้มป่วยพบว่าเธอประจำในชุดคณะกรรมาธิการกฎหมายของที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ
อาซูเซนากล่าวว่า นักการทูตหญิงรายนี้เริ่มแสดงอาการป่วยให้เห็นในวันอังคาร(10)ด้วยอาการคล้ายกับเป็นไข้หวัดและได้เดินทางไปพบแพทย์ หลัง 1 วันก่อนหน้าที่นักการทูตรายนี้ใช้เวลา 30 นาทีในวันจันทร์(9)ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ และเขาได้ชี้แจงในวันพฤหัสบดี(12)ว่า “นักการทูตหญิงได้ติดต่อเข้ามาว่าเธอได้รับแจ้งว่ามีผลติดเชื้อโรคโควิด-19”
รอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า โฆษกองค์การสหประชาชาติแถลงว่า นักการทูตหญิงที่ติดเชื้อได้พบกับนักการทูตอื่นอีก 2 คนที่สำนักงานใหญ่ และได้อยู่แค่ภายในห้องประชุมเพียงห้องเดียวซึ่งทางสำนักงานได้สั่งให้มีการฆ่าเชื้อห้องดังกล่าว 3 ครั้งนับตั้งแต่วันจันทร์(9) และทางทีมแพทย์ของสหประชาชาติได้ติดต่อเจ้าหน้าที่การทูตที่ได้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อรายนี้ ซึ่งในวันศุกร์(13)แผนงานการประชุมประจำสำนักงานใหญ่ถูกสั่งยกเลิกเนื่องมาจากผลการยืนยันการติดเชื้อ
อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้เจ้าหน้าที่ประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์กจำนวน 193 คนเริ่มมาตรการป้องกันโรคโควิด-19
นอกจากนี้พบว่าการประชุมว่าด้วยสิทธิสตรีที่กำหนดระยะเวลา 2 สัปดาห์ถูกลดให้เหลือลงแค่ 1 วัน และได้มีการสั่งยกเลิกการจัดงานใหญ่อื่นๆของสหประชาชาติ ส่วนงานที่เล็กลงนั้นถูกลดจำนวนระยะเวลาการจัดงาน ซึ่งทางสหปะชาชาติได้ร้องขอจำกัดจำนวนนักการทูตที่จะถูกส่งมาร่วม และอย่างน้อยเกือบครึ่งหนึ่งของเจ้าหน้าที่ยูเอ็นหลายพันคนที่ปกติต้องเดินทางเข้ามาทำงานที่สำนักงานถูกสั่งให้ทำงานจากที่บ้านนับตั้งแต่สัปดาห์หน้า
ในขณะเดียวกันในเวลานี้ผู้นำสหรัฐฯกำลังประสบปัญหาจากโรคโควิด-19 โดยแหล่งข่าวได้เปิดเผยกับ CNN สื่อสหรัฐฯว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังมีความวิตกถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อเกิดขึ้นหลังมีรายงานว่า ฟาบิโอ แวนการ์เทน (Fabio Wajngarten)เลขานุการด้านการสื่อสารของประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู แห่งบราซิล คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลบราซิลที่ถูกพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา ทั้งนี้พบว่าเธอได้ถ่ายภาพคู่ร่วมกับทรัมป์ระหว่างที่ติดตามผู้นำบราซิลไปร่วมการประชุมที่บ้านพักของผู้นำสหรัฐฯ มาราลาโก (Mar-a-Lago)ในวันเสาร์(7)
แหล่งข่าวกล่าวว่า “เขามีความวิตกถึงทุกคนที่เขาได้พบติดเชื้อ รวมไปถึงชาวบราซิล”
สำหรับโฆษกประธานาธิบดีบราซิล แวนการ์เทน นั้นได้รับการยืนยันว่ามีผลการติดเชื้อเป็นบวกในวันพฤหัสบดี(12) แหล่งข่าวใกล้ชิด 2 คนยืนยัน ในขณะที่ตัวผู้นำบราซิลในเวลานี้อยู่ในระหว่างการดูอาการ
ซึ่งผู้ช่วยของโบลโซนารูได้โพสต์ภาพตัวเขายืนข้างกายประธานาธิบดีทรัมป์และรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไมค์ เพนซ์ ที่มาราลาโก
อย่างไรก็ตามในวันพฤหัสบดี(12) ทรัมป์ยังคงยืนกรานว่าเขาไม่รู้สึกวิตกถึงโอกาสที่ตัวเองจะติดเชื้อไวรัสโคโรนา “เราไม่ได้ทำอะไรที่ผิดปกติ เราได้นั่งใกล้กันในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น” โดยทรัมป์ได้แถลงนักข่าวภายในห้องทำงานรูปไข่ที่ทำเนียบขาวโดยเอ่ยไปถึงโบลโซนารู
และแหล่งข่าวเปิดเผยว่า ไม่ทราบว่าผู้นำสหรัฐฯในเวลานี้ได้ทำการตรวจโรคโควิด-19 แล้วหรือไม่ ระหว่างที่คนอื่นๆที่ได้มีโอกาสติดต่อกับโฆษกประธานาธิบดีบราซิล ซึ่งรวมไปถึง สว.รัฐฟลอริดา พรรครีพับลิกัน ริค สกอตต์ (Rick Scott)ตัดสินใจกักกันโรคด้วยความสมัครใจ
ยอดดับทั่วโลกจากโควิด-19ในวันนี้(13)อ้างอิงโรงพยาบาลจอห์นฮอปกินส์ของสหรัฐฯอยู่ที่ 4,720 คน และติดเชื้อรวม 128,343 คน หายป่วย คน 68,324 คน ส่วนสหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อ 1,663 คน และเสียชีวิต 40 คน แต่ในรายงานของหนังสือพิมพ์เซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์มีจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 4,948 คน และติดเชื้อ 131,851 คน หายป่วย 69,847 คน