อธิบดีกรมการศาสนาห่วงสิ่งตกค้างจากความเชื่อทั้งดอกไม้ ธูป เทียน และเครื่องกระดาษ เร่งหาวิธีบริหารจัดการเพื่อให้เกิดรมณียสถานที่มีคุณภาพ ลดปัญหามลพิษในสิ่งแวดล้อม นักวิจัยชี้ต้องปรับเปลี่ยนสัญลักษณ์และวิธีปฏิบัติโดยยังคงความหมายไว้ เน้นสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ที่ตระหนักถึงปัญหา PM2.5 ปรับพฤติกรรมได้ง่ายกว่า
เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมการศาสนา ร่วมประชุมกับคณะวิจัยโครงการ “การพัฒนาทุนทางศิลปะและวัฒนธรรมย่านเยาวราช” นำโดย รศ.ดร.นันทนิตย์ วานิชาชีวะ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการบริหารจัดการดอกไม้ ธูป เทียน และเครื่องกระดาษในการประกอบศาสนพิธีต่างๆ ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีล่าสุดได้มีการรณรงค์ให้ใช้ธูปไร้ควันเพื่อลด PM2.5 ในวันมาฆบูชาที่จะถึงนี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรีเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ รศ.จักรพันธ์ วิลาสินีกุล กล่าวว่า สิ่งที่ต้องปรับเป็นอันดับแรก คือ พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนยากที่สุด ทั้งนี้ ทัศนคติความเชื่อเกิดจาก “ความหมาย” ตามคติความเชื่อ “สัญลักษณ์” ที่สื่อผ่านศิลปวัตถุและศาสนสถาน และ “วิธีปฏิบัติ” ที่สะท้อนจากความหมายเชิงสัญลักษณ์
หลังจากดำเนินการวิจัยในระดับหนึ่งทีมวิจัยพบว่า หากรักษาสัญลักษณ์ว่ามีความหมายอะไรก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ เช่น ในประเทศจีนมีการสั่งไก่ทอดเป็ดทอดมาไหว้เจ้า แสดงถึงกระบวนการอธิบายชีวิตของคนยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายและประหยัด แต่ได้ความหมายเช่นเดิม
แนวทางการจัดการแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.การใช้กลยุทธ์ร่วมกันในการจัดกลุ่มเป้าหมาย เริ่มจากคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนได้มากกว่าเพราะตระหนักถึงปัญหา PM2.5
2.วางแผนงานรายปีเพื่อรณรงค์ลด PM2.5 ในวันสำคัญทางศาสนาและเทศกาลต่างๆ ล่วงหน้า
3.จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายทั้งด้านสถานที่ การจัดการพิธีกรรม และการจัดการวัสดุ
“จริงๆ แล้วเราพบว่าการใช้ธูปไร้ควันยังคงมีอันตรายจากโลหะหนักแม้ว่าจะมองไม่เห็น ส่วนเทียนนั้นมีผู้ประกอบการบางรายนำน้ำมันคุณภาพต่ำกลับมาใช้ในการหล่อเทียน จึงต้องหาแรงจูงใจแก่ผู้ประกอบการโดยไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มและยังคงสามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้ทางกรุงเทพมหานครและแต่ละจังหวัดจะต้องหากระบวนการจัดการกำจัดธูปเทียนและเครื่องกระดาษที่ใช้แล้ว”
ด้านอธิบดีกรมการศาสนาระบุว่า ศาสนพิธีเป็นอุบายอย่างหนึ่งในการดึงคนเข้ามาในศาสนสถานเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งแห่งศาสนา จึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะห้ามจุดธูปเทียนตามวัด รวมถึงการใช้เครื่องกระดาษในศาลเจ้า ซึ่งทำให้เกิด PM2.5 ดังนั้นทางเลือกในการลดปัญหานี้ คือ จุดธูปเทียน เผากระดาษให้น้อยลงในช่วงเวลาสั้นๆ การใช้เทียนประดิษฐ์ไฟฟ้า รวมถึงระบบการจัดการระบายอากาศ และที่สำคัญคือผู้ผลิตซึ่งเป็นต้นทาง ซึ่งเราจะต้องสร้างความเข้าใจและให้คำแนะนำแก่วัด ทั้งนี้ อยากให้คณะวิจัยตรวจคุณภาพอากาศในวัดทางพุทธศาสนาด้วยว่ามีปริมาณ PM2.5 เท่าใด
“เห็นด้วยกับการคงความหมายในการปรับเปลี่ยนสัญลักษณ์และวิธีปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดมลพิษตกค้าง จากนี้กรมการศาสนาจะเพิ่มกลยุทธ์ในการประชาสัมพันธ์วัดตัวอย่างที่มีการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชน การบริหาร “สิ่งตกค้างจากความเชื่อ” ธูปเทียนและกระดาษที่ใช้แล้วจะจัดการอย่างไร ที่ไหน นอกจากนี้ยังหาต้องวิธีการจัดการดอกไม้ต่าง ๆ ที่ไม่ใช้แล้ว รวมถึงต้องมีการรณรงค์รักษาสุขภาพอนามัยและการจัดการสภาพแวดล้อมของศาสนสถานที่ยังคงความหมายในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อให้เป็นรมณียสถานที่มีคุณภาพ” นายกิตติพันธ์กล่าวสรุป