xs
xsm
sm
md
lg

ค้นหาสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

Parkes Radio Telescope (Cr.Ian Sutton)
มนุษย์มีความเชื่อมานานหลายพันปีแล้วว่า บนดาวต่างๆ มีมนุษย์อาศัยอยู่มากมาย เมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล ปราชญ์กรีก Epicurus ได้เขียนบันทึกถึงนักประวัติศาสตร์ Herodotus ว่า เอกภพคงมีดาวหลายดวงที่มีมนุษย์ พืช และสัตว์อาศัยอยู่เหมือนโลกเรา นักดาราศาสตร์เยอรมัน Johannes Kepler ก็เคยเชื่อว่า บนดาวพฤหัสบดีมีมนุษย์ที่มีรูปร่างสูงถึง 400 เมตรอาศัยอยู่ ด้านนักวิทยาศาสตร์ Benjamin Franklin ก็เคยเชื่อว่าบนดาวพุธมีมนุษย์อยู่แน่นอน

ส่วน H.G.Wells ซึ่งเป็นนักประพันธ์ก็ได้เคยเรียบเรียงนวนิยายเกี่ยวกับมนุษย์บนดาวอังคารว่าได้เดินทางมารุกรานโลก ซึ่งได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 1898 เรื่อง “War of the Worlds” ครั้นเมื่อเนื้อหาในหนังสือถูกนำมาดัดแปลงเป็นละครวิทยุก็ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากแตกตื่น เพราะคิดว่า โลกถูกมนุษย์อังคารบุกรุกจริง

ด้านนักประพันธ์ชาวสวิสชื่อ Erich von Daniken ก็ได้เสนอทฤษฎีมนุษย์ต่างดาวในปี 1970 ในหนังสือ Chariots of the Gods ว่า มนุษย์อวกาศจากนอกโลกได้มาสร้างปิระมิด สร้างอนุสาวรีย์หินบนเกาะ Easter และลากเส้น Nazca ในทะเลทรายของเปรู เป็นต้น ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไปสนใจเรื่องต่างดาวมาก แต่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันปฏิเสธไม่ยอมรับทฤษฎีนี้

แม้เราจะมีจินตนาการที่หลากหลายเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว แต่ความจริงก็มีว่า โลกยังไม่ประสบการมาเยี่ยมเยือนจากเพื่อนต่างดาวเลย คำถามจึงมีว่า โลกเราเป็นดาวดวงเดียวในเอกภพที่มีมนุษย์อยู่ใช่หรือไม่ ตรรกะที่มีแสดงว่าคงไม่ใช่ เพราะนักดาราศาสตร์เชื่อว่า ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรามีดาวที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลกประมาณ 10,000 ล้านดวง ดังนั้นคำถามที่ติดตามมา คือแล้วโลกใดบ้างมีมนุษย์

ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ และคนที่ต้องการรู้คำตอบก็มีนับพันล้านคน ซึ่งรวมถึง Yuri Milner มหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์สินมูลค่า 600,000 ล้านบาทด้วย เขาคือเจ้าของธุรกิจ Facebook, Turtles, Spotify และ Groupon ที่ต้องการรู้คำตอบนี้เหมือนกัน จึงได้ประกาศจะมอบรางวัล Breakthrough Listen เป็นเงิน 35,000 ล้านบาทในอีก 10 ปี ให้แก่นักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยีที่สามารถค้นหา และรับสัญญาณคลื่นวิทยุที่มีนับ 10,000 ล้านความถี่จากอวกาศ และวิเคราะห์จนประจักษ์ชัดว่ามันเป็นสัญญาณจาก “มนุษย์ต่างดาว” จริง

ความจริงการค้นหาสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว Search for Extraterrestrial Intelligence (SETI) ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.1960 เมื่อ Frank Drake หนุ่มอเมริกันวัย 30 ปี ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ (กล้องที่รับคลื่นวิทยุแทนที่จะรับคลื่นแสง ดังเช่น กล้องโทรทรรศน์ทั่วไป) ชื่อ Tatel ที่เมือง Green Bank ในรัฐ Virginia เพื่อรับสัญญาณจากต่างดาว

โดย Drake ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ Arecibo ใน Puerto Rico ซึ่งเป็นจานโค้งที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 305 เมตร และมีจุดโฟกัสที่ตำแหน่ง 150 เมตรเหนือจุดศูนย์กลางของจาน ความกว้างใหญ่ของจานทำให้สามารถรับคลื่นที่มีกำลัง 10-12 วัตต์ได้ และนั่นหมายความว่า คลื่นวิทยุจากกาแลกซี่ใดที่อยู่ห่างจากโลกเป็นระยะทาง 14,000 ปีแสง กล้องก็สามารถรับได้หมด ในปี 1974 กล้อง Arecibo ได้ส่งข้อมูล 1,679 บิทที่เกี่ยวกับโลก เช่น ตำแหน่งของโลกในระบบสุริยะ รวมถึงองค์ประกอบของบรรยากาศโลกตรงไปที่กระจุกดาว M13 ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 25,000 ปีแสง นั่นหมายความว่า ข้อมูลจะถึงดาวดังกล่าวในปี 26974 ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่น่าสงสัยว่าเหตุใดเราจึงไม่ได้คำตอบ เพราะเหตุว่าการส่งสัญญาณต้องใช้เวลานานมากกว่าสัญญาณจะถึงปลายทาง ดังนั้น วิธีที่ดีกว่า คือ การดักฟังสัญญาณจากมนุษย์ต่างอารยธรรม

สำหรับการดักฟังสัญญาณจากต่างดาวนั้นมีหลักการว่า เพราะดาวทุกดวงในเอกภพมีการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นต่างๆ กัน ตั้งแต่รังสีแกมมาที่มีความยาวคลื่นสั้น จนกระทั่งถึงคลื่นวิทยุที่มีความยาวคลื่นยาว และคลื่นทุกคลื่นเหล่านี้ต่างก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง ดังนั้น ถ้ามนุษย์ต่างดาวต้องการจะติดต่อกับโลก เขาก็ควรใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งข่าว แต่การที่มนุษย์โลกจะเข้าใจความหมายของข่าวได้ เขาจะต้องรู้ความถี่ของคลื่นที่ถูกส่งมา และช่วงความถี่ของสัญญาณด้วยว่า เป็นแบบ FM หรือ AM และที่สำคัญคือ ต้องรู้ว่าดาวดวงใดส่งสัญญาณมา

ในส่วนของการค้นหาแหล่งส่งสัญญาณนั้น นักวิทยาศาสตร์ใช้หลักการว่า เพราะผู้ส่งเป็น “มนุษย์” บนดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ ดังนั้นดาวฤกษ์ที่จะมีมนุษย์น่าจะเป็นดาวฤกษ์ที่มีอายุและสมบัติกายภาพคล้ายดวงอาทิตย์ และเมื่อ Epsilon Eridani กับ Tau Ceti เป็นดาวฤกษ์ที่คล้ายดวงอาทิตย์มากที่สุด Drake จึงตั้งใจฟังสัญญาณจากดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวทั้ง 2 ดวง แต่ก็ไม่ได้ยินสัญญาณใดๆ
Frank Drake (Cr.M-n-M Flickr user)
ในส่วนของความถี่ของคลื่นวิทยุที่มนุษย์ต่างดาวจะใช้ส่งนั้นในปี 1958 P.M. Morrison แห่งมหาวิทยาลัย Cornell ในสหรัฐฯ ได้เสนอความเห็นว่า มนุษย์ต่างดาวน่าจะส่งคลื่นที่มีความถี่ 1,420,405,757 เฮิร์ตซ์ เพราะคลื่นนี้เป็นคลื่นที่มาจากอะตอมไฮโดนเจนซึ่งเป็นธาตุที่มีบนดาวทุกดวงในเอกภพ และเป็นคลื่นที่สามารถเดินทางไกลในอวกาศได้ โดยแทบปราศจากการถูกดูดกลืน และเพื่อให้มันสามารถนำข้อมูลมาด้วย มนุษย์ต่างดาวก็น่าจะส่งคลื่นที่มีความถี่ไม่แตกต่างมากจากคลื่นหลักดังกล่าวมาด้วย

แต่ตลอดเวลา 56 ปีที่ผ่านมา แม้ความสามารถในการรับสัญญาณจากต่างดาวได้เพิ่มจากเดิมเป็นหมื่นล้านเท่า เราก็ยังไม่ได้ยินอะไรเลย

การไม่ได้ยินเสียงใดๆ มิได้หมายความว่า ไม่มีมนุษย์ต่างดาว แต่อาจเป็นไปได้ว่า มนุษย์ต่างดาวได้ส่งสัญญาณมาถึงโลกแล้ว แต่เครื่องรับเราไม่สามารถรับคลื่นความถี่ดังกล่าวได้ หรือมนุษย์ต่างดาวยังไม่มีความสามารถจะส่งคลื่นได้ เพราะมนุษย์โลกเองก็เพิ่งส่งวิทยุเป็นเมื่อไม่ถึง 100ปีนี้เอง หลังจากที่ได้ถือกำเนิดเกิดมาบนโลกมานานนับล้านปี

เมื่อเรายังไม่ได้ยินสัญญาณใดๆ ขั้นต่อไป SETI ก็ได้สนใจรับสัญญาณจากดาวฤกษ์ที่อยู่ในกาแล็กซี่อื่น และมีอายุมากกว่ากาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรา เพราะถ้าอารยธรรมต่างดาวมีจริง คนต่างกาแล็กซี่คงจะต้องมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมากกว่าคนบนโลก แม้รูปร่างหน้าตาจะแตกต่างไปจากเรา แต่เขาเหล่านั้นก็จะใช้หลักการฟิสิกส์รูปแบบเดียวกันกับมนุษย์โลกในการติดต่อกับเรา

เพราะ 30 ปีที่ผ่านไป SETI ไม่ประสบความสำเร็จเลย ดังนั้นในปี 1990 รัฐบาลสหรัฐฯ จึงประกาศหยุดสนับสนุนโครงการ แต่ SETI ก็ได้รับการอุปถัมภ์จากบริษัทเอกชนให้พยายามต่อไป และได้ตั้งชื่อโครงการใหม่ล่าสุดว่า “Breakthrough Listen” โดยจะแบ่งงบประมาณที่ได้ 20% เพื่อซื้อเวลาในการใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่มีจานรับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100 เมตร เป็นเวลานาน 10 ปี กล้องนี้เป็นกล้องที่สามารถปรับทิศทางการรับคลื่นได้ และมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (กล้อง Arecibo ปรับทิศไม่ได้) ส่วนงบประมาณอีก 25% จะซื้อเวลาของกล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาด 64 เมตรชื่อ Parkes Radio Telescope ที่ New South Wales ในออสเตรเลียเป็นเวลา 5 ปี นอกจากนี้ก็จะใช้กล้องขนาด 2.4 เมตร ชื่อ Automated Planet Finder ของหอดูดาว Lick ที่ Mount Hamilton ซึ่งอยู่ใกล้เมือง San Jose ในแคลิฟอร์เนีย เพื่อรับแสงเลเซอร์ที่มนุษย์ต่างดาวอาจส่งมาด้วย

โครงการ Breakthrough Listen วางแผนจะรับคลื่นวิทยุจากดาวเคราะห์ต่างๆ ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด โดยการรวบรวมสัญญาณข้อมูล 10 gigabyte/วินาที ซึ่งมีปริมาณมากเกินกว่าที่เครื่องคอมพิวเตอร์ธรรมดาจะสามารถรับได้ ดังนั้น Geoff Marcy แห่งมหาวิทยาลัย Calofornia ที่ Barkeley จึงต้องออกแบบคอมพิวเตอร์ใหม่ให้มีประสิทธิภาพสูงในการแยกแยะสัญญาณ และ Marcy เชื่อว่า จากจำนวนดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด 100 ดวง น่าจะมีดาวเคราะห์อย่างน้อยหนึ่งดวงที่มีสิ่งมีชีวิต ที่มีสติปัญญาสูงจนสามารถส่งคลื่นวิทยุให้มนุษย์โลกสามารถรับได้

Breakthrough Listen จึงเป็นโครงการการสำรวจมากกว่าจะเป็นโครงการวิทยาศาสตร์ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการที่ว่า เอกภพน่าจะมีโลกมนุษย์อีกอย่างน้อยหนึ่งโลก แต่การที่เรายังไม่ได้รับสัญญาณใดๆ คงไม่ใช่เพราะไม่มี มนุษย์ต่างดาว แต่คงเป็นไปได้ว่าสัญญาณที่มนุษย์ต่างดาวส่งมายังมาไม่ถึงโลก หรือได้ผ่านเลยโลกไปแล้ว
ภาพจำลองยาน Voyager I (NASA/JPL)
นักวิทยาศาสตร์นั้นได้รู้มาพอสมควรแล้วว่า สัญญาณที่ว่าควรมีสมบัติอะไร แตกต่างจากสัญญาณรบกวนภูมิหลังอย่างไร และคงมีช่วงความถี่แคบ แต่มีพลังงานมาก จึงแตกต่างจากสัญญาณที่มาจาก pulsar หรือ gamma ray burst ด้านแอมปลิจูดของคลื่นจากต่างดาวก็ควรมีหลากหลาย เพื่อให้การรับสัญญาณชัดเจน จากที่นักดาราศาสตร์เคยใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาด 305 เมตรที่ Arecibo ใน Puerto Rico ในปี 2016 จีนจะเริ่มใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาด 500 เมตร ในโครงการ FAST จากชื่อ Five-hundred meter Aperture Spherical radio Telescope ซึ่งอยู่ที่เมือง Quizhou ขนาดมโหฬารของกล้องทำให้มันเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะสามารถเห็นได้ไกลกว่ากล้องที่ Arecibo ถึง 3 เท่า และเห็นได้ไกลถึง 7,000 ล้านปีแสง ในอนาคต สหรัฐฯ ก็ไม่ยอมแพ้ เพราะกำลังสร้างกล้อง Allen Telescope Array (ATA) ที่มีจานรับคลื่นวิทยุ 40 จาน ซึ่งจะทำงานประสานกันเป็นจานวิทยุขนาดใหญ่กว่าของจีนมาก และทันทีที่นักดาราศาสตร์มั่นใจว่าใช่สัญญาณจากต่างดาว ผู้รับสัญญาณจะรายงานให้หอดูดาวอื่นๆ ตรวจสอบ และรายงานให้ผู้อำนวยการของ International Astronomic Union (IAU) ทราบและ ส่งรายงานให้องค์การสหประชาชาติทราบ รวมถึงให้ผู้นำของประเทศต่างๆ ทั่วโลกรู้ด้วย จากนั้นก็จัดพิธีพบสื่อสารมวลชน เพื่อแถลงข่าวสะท้านโลกนี้

ในขณะที่นักดาราศาสตร์บางคนกำลังคอยรับสัญญาณวิทยุจากต่างดาว ซึ่งเป็นการทำงานในลักษณะตั้งรับ นักดาราศาสตร์อื่นๆ อีกหลายคนกลับเห็นว่า เราน่าจะทำงานเชิงรุกบ้าง คือ ส่งสัญญาณอะไรก็ได้ไปต่างดาว ด้วยความคิดนี้สหรัฐจึงส่งยาน Pioneer 10 ออกไปนอกสุริยะจักรวาลในปี 1972 โดยให้นำแผ่นป้ายที่มีข้อมูลและภาพมนุษย์ไปด้วย ถึงปี 1977 NASA ได้ส่งยาน Voyager I และ II ออกไปนอกระบบสุริยะ ยานทั้ง 2 มีแผ่นเสียงบันทึกเสียงฝนตก ภาษาต่างๆ 55 ภาษา รวมถึงดนตรีของ Bach และ Beethoven หลังจากที่ได้ปล่อยยานไปเพียง 30 ปี แผ่นเสียงที่ส่งไปกับยานก็ไม่มีใครใช้กันแล้วบนโลก แต่ในกาแล็กซีอื่นอาจจะยังใช้กันอยู่

ในประเด็นสัญญาณคลื่นวิทยุ เราก็ได้ส่งออกไปเช่นกัน สัญญาณที่เดินทางด้วยความเร็วแสงได้เดินทางผ่านดาวฤกษ์นับ 10,000 ดวงแล้ว และถ้าดาวเหล่านี้มีมนุษย์ๆ ก็คงรับสัญญาณที่ส่งมาได้ และตระหนักรู้ว่า เขามีเพื่อน และนั่นจะเป็นการเริ่มต้นของการมีสัมพันธภาพกับต่างดาว

แต่ถ้าเราไม่ประสบความสำเร็จใดๆ เราก็คงต้องสร้างอุปกรณ์ฟังเสียงกระซิบจากสวรรค์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นไปอีก ต้องทุ่มเทเงินทองและเวลา เพื่อรับฟังสัญญาณให้มากขึ้น เพราะเราเชื่อว่ามนุษย์ต่างโลกมีจริง และถ้าเขามีความสามารถสูงล้ำ เขาอาจจะบอกเราให้รู้วิธีรักษามะเร็ง และเอดส์ รู้จักทำชีวิตให้เป็นอมตะ หรือรู้จักเปลี่ยนสมอง และถ้าเรามีโอกาสพบเขา เราจะไม่สนใจความแตกต่างระหว่างเขากับเรา แต่เราจะสนใจความคล้ายคลึงระหว่างเขากับเรามากกว่า

ในขณะเดียวกันเราก็ต้องทำใจเปิดกว้างว่า เราอาจจะติดต่อใครไม่ได้เลย และไม่มีใครติดต่อเราได้ โลกที่เราอยู่นี้เป็นดาวพิเศษหนึ่งเดียวเท่านั้นในเอกภพที่มีมนุษย์อยู่ และถ้าความกังวลนี้เป็นจริง ก็คงเป็นที่น่าเสียดายที่ว่าดาวมีเต็มฟ้า แต่ไม่มีมนุษย์ไปอยู่ เสมือนการสร้างบ้านแล้ว ไม่มีคนอาศัย

ขณะนี้เทคนิค อุปกรณ์ และความตั้งใจที่จะค้นหาเสียงจากมนุษย์ต่างดาวนั้นพร้อมแล้ว เราต้องการแต่เวลาเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติมจาก The Eerie Silence: Renewing Our Search for Alien Intelligence โดย Paul Davies จัดพิมพ์โดย Houghton, Mifflin Harcourt ปี 2010






เกี่ยวกับผู้เขียน

สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์








กำลังโหลดความคิดเห็น