xs
xsm
sm
md
lg

Kiribati สาธารณรัฐกลางทะเลที่จะจมน้ำเหมือน Atlantis

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

เกาะ Tarawa Atoll ของ สาธารณรัฐ Kiribati (ภาพโดย Charly W. Karl - https://www.flickr.com/photos/cwkarl/12644930893/in/photostream/)
สาธารณรัฐ Kiribati (อ่าน Ki-ri-bas) ซึ่งเดิมเป็นที่รู้จักในนามหมู่เกาะ Gilberts เมื่อครั้งที่ยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกตรงบริเวณเส้นศูนย์สูตร และมีเส้นแวงที่ 180° ลากผ่าน ชาว Kiribati จึงเป็นชนชาติแรกของโลกที่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของหมู่เกาะ แต่ในขณะเดียวกัน Kiribati ก็เป็นดินแดนที่กำลังจะถูกน้ำทะเลท่วม จนหมู่เกาะทั้งหมดอาจจมน้ำทะเลจากสาเหตุที่โลกกำลังประสบภาวะโลกร้อน ซึ่งกำลังทวีความรุนแรงขึ้นตลอดเวลา

Kiribati ประกอบด้วยเกาะเล็กๆ รวมทั้งสิ้น 33 เกาะตั้งเรียงรายอยู่ระหว่างทวีปออสเตรเลียกับหมู่เกาะฮาวาย มีพื้นที่รวม 811 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 1.5 แสนคน คนส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวงชื่อ Tarawa บนเกาะ Tarawa Atoll เกาะนี้มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉากและมีทะเลสาบ (lagoon) อยู่ภายใน บุคคลภายนอกสามารถเดินทางไปเยือน Kiribati ได้โดยใช้บริการของสายการบิน Fiji Airways บินตรงจากเกาะ Fiji ถึง Tarawa ภายใน 3 ชั่วโมง ตามปกติชาวเกาะมีรายได้จากนักทัศนาจรที่เดินทางมาจาก Fiji สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบินด้วยเครื่องบินที่ลงจอดที่สนามบิน Bonriki บนเกาะ Tarawa Atoll สนามบินตั้งอยู่บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 3 เมตร ในขณะที่พื้นดินบนเกาะสูงจากระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเพียง 2 เมตรเท่านั้นเอง ดังนั้น ปัญหาที่ชาว Kiribati กำลังเผชิญอยู่ทุกวี่ทุกวัน คือในเวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลาน้ำขึ้น ชาวบ้านที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ส่วนต่ำของเกาะจะต้องยกและขนทรัพย์สมบัติหนีน้ำทะเลสกปรกเพื่อนำสิ่งของเครื่องใช้ขึ้นที่สูง และคอยจนกระทั่งฟ้าสาง เมื่อน้ำทะเลลด เกาะก็จะกลับสภาพปกติ แต่เมื่อถึงเวลาบ่าย น้ำก็จะท่วมเกาะอีก ความทุกข์กังวลของชาว Kiribati จึงขึ้นกับเวลาน้ำขึ้นและลง

ในรายงานล่าสุดประจำปี 2015 ของ Inter Governmental Panel on Climate Change (IPCC) แห่งสหประชาชาติมีคำทำนายว่า ขณะที่โลกกำลังประสบปัญหาดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งทำให้ก้อนน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ในทวีปแอนตาร์กติกาละลายในปริมาณมากยิ่งขึ้นทุกปี เมื่อถึงปี 2100 การละลายของน้ำแข็งแถบขั้วโลกจะทำให้ระดับน้ำในมหาสมุทรเพิ่มถึง 1 เมตร ซึ่งจะทำให้ผู้คน 145 ล้านคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมฝั่งทะเลทั่วโลกเดือดร้อน และถ้าคำพยากรณ์นี้เป็นจริงนั่นแสดงว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของสาธารณรัฐ Kiribati จะถูกน้ำท่วม และบรรดาเมืองน้อยใหญ่ของประเทศต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมทะเล หรือเลียบมหาสมุทรจะถูกน้ำท่วมแน่นอน นั่นคือ เมือง Bombay ในอินเดีย Dakka ในบังคลาเทศ New York ในอเมริกา และกรุงเทพฯ ในไทย ก็จะถูกน้ำท่วมด้วย ซึ่งจะมีผลทำให้คนนับร้อยล้านคนต้องอพยพขึ้นที่สูง สำหรับคนชาติอื่น ปัญหานี้มิใช่ปัญหาใหญ่เลย เพราะผู้เดือดร้อนสามารถอพยพขึ้นที่สูงได้ แต่ในกรณีชาว Kiribati พวกเขาจะประสบปัญหาไม่มีที่จะไป และไม่รู้ว่าจะไปขออาศัยอยู่ที่ไหน ยิ่งเมื่อ IPCC ทำนายว่า ในอีก 500 ปีระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 15 เมตร Kiribati จึงมีแนวโน้มว่ากำลังจะเป็นนคร Atlantis ในอนาคตอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ท่านประธานาธิบดี Anote Tong แห่ง Kiribati จึงได้กล่าวปราศรัยเตือนประชาชนให้ทุกคนเตรียมตัวอพยพออกจากเกาะ

แต่นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่ได้ศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ของหมู่เกาะ Kiribati มาเป็นเวลานานนับ 20 ปี กลับมีความเห็นว่า เหตุการณ์น้ำท่วมเกาะคงไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน เพราะหมู่เกาะ Kiribati เกิดจากปะการังซึ่งเป็นแหล่งพักของตะกอนที่ถูกพัดพามากับกระแสน้ำ ในมหาสมุทร ดังนั้นเกาะจึงขยายขนาด (แต่ไม่เพิ่มความสูง) และความกว้างใหญ่ก็ไม่เพิ่มมากพอจะหักล้างกับการกัดเซาะชายฝั่ง โดยคลื่นในมหาสมุทร ซึ่งได้ชะล้างความอุดมสมบูรณ์ของดินบนเกาะออกไปทุกวัน

นอกจากปัญหาภูมิศาสตร์ที่ชาวเกาะไม่มีทางสู้แล้ว ชาว Kiribati ก็มีปัญหาสังคมด้วย เพราะชาวเกาะเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน และได้อพยพจากเกาะเล็กมาอยู่รวมกันบนเกาะใหญ่อย่างไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น ไม่มีการใช้ส้วม และมีฟาร์มเลี้ยงหมูที่ถูกน้ำท่วมบ่อย ทำให้ปฏิกูลหมูไหลนองเกาะ ซึ่งมีผลทำให้น้ำจืดที่ชาวเกาะใช้บริโภคมีสารปนเปื้อน น้ำจึงไม่สะอาดและมีรสกร่อย การดื่มน้ำที่ไม่สะอาดทำให้ผู้คนเป็นโรค ทุกวันนี้เกาะขนาดเล็กจึงไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย เพราะขาดน้ำจืดจะดื่ม และฝนไม่ตก ทำให้ผู้คนต้องอพยพไปเมืองหลวง Tarawa และประกอบอาชีพขุดน้ำบาดาลจากบ่อที่อยู่ในบริเวณสนามบินโดยใช้ปั้ม ครั้นเมื่อผู้คนหลั่งไหลมาอาศัยที่เกาะมากขึ้นๆ คนเหล่านี้ก็มีปัญหาเรื่องการหางานทำ เพื่อการอยู่รอด และให้ลูกหลานได้รับการศึกษา ดังนั้น ความเดือดร้อนจึงทวีความรุนแรงขึ้นตลอดเวลา เพราะมีคนตกงานเป็นจำนวนมาก และเมื่อการปฏิเสธจะช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนเป็นเรื่องต้องห้าม สำหรับชาว Kiribati ดังนั้นเมือง Tarawa จึงมีลักษณะคล้ายสลัมแห่งเมือง Bombay เข้าทุกวัน

ปัญหาที่คนทั้งโลกสนใจ คือ Kiribati จะจมน้ำเมื่อไร และคน Kiribati จะอพยพไปที่ใด

Kiribati นั้นเป็นเกาะที่เกิดจากปะการังซึ่งได้เจริญเติบโตบนเนินภูเขาไฟ ดังนั้นเวลามีการขุดดินบนเกาะลึกลงไป จะพบหินภูเขาไฟ และตลอดเวลาล้านปีที่ผ่านมานี้ซากหอย ปู ที่อาศัยอยู่ตามปะการังได้หลอมรวมกับสาหร่ายทะเลกลายเป็นหินปูนอยู่เรียงรายเป็นวงกลม และเมื่อยอดของปะการังเจริญถึงระดับน้ำมหาสมุทร ดินจะทรุดทำให้เกิดทะเลสาบ (lagoon) กลางเกาะ Kiribati จึงมีภูเขาไฟที่ดับแล้วอยู่ข้างล่าง และเป็นหมู่เกาะปะการังที่เติบโตมาพร้อมกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มตลอดเวลา เพราะน้ำได้ดูดซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ จนน้ำกลายเป็นกรดอ่อนๆ และมีอุณหภูมิสูง ปะการังที่อยู่รอบเกาะจึงถูกฟอกขาวและเติบโตช้า การวัดอายุของปะการัง โดยใช้เทคนิคคาร์บอน-14 แสดงให้เห็นว่า ในช่วงเวลา 10,000 ปีที่ผ่านมา ปะการังของเกาะเติบโตช้าลงๆ

ด้านประธานาธิบดี Tong ก็ได้ออกมาเน้นย้ำว่า ใครบนเกาะจะไม่เชื่อว่าโลกกำลังร้อนขึ้นตลอดเวลาก็ตามใจ แต่ขอเตือนให้ชาวเกาะอพยพออกไปก่อนอย่างมีศักดิ์ศรี แทนที่จะหอบผ้าผ่อนทิ้งเกาะไปเหมือนพวกอพยพชาวซีเรีย และเพื่อช่วยผู้อพยพ ทางรัฐบาล Kiribati ได้จัดซื้อที่ดินเนื้อที่ 22 ตารางกิโลเมตร บนเกาะ Fiji ในราคา 300 ล้านบาท เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของชาว Kiribati แม้จะยังไม่ได้กำหนดให้ใครมีสิทธิ์อยู่ และให้อยู่ได้ตั้งแต่เมื่อใดก็ตาม เพราะประธานาธิบดี Tong คิดว่า วิธีซื้อที่ก็ยังดีกว่าการสร้างเขื่อนล้อมรอบเกาะ เพื่อให้เกาะปลอดภัยจากการถูกน้ำทะเลท่วม
ภาพการทำประมงในสาธารณรัฐ Kiribati (ภาพโดย Department of Foreign Affairs and Trade, Australia - https://www.flickr.com/photos/dfataustralianaid/10695297335))
ในขณะที่ชาว Kiribati ต้องต่อสู้กับภัยน้ำทะเลท่วม ชาวโลกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณใกล้ชายทะเลทั่วโลกก็ต้องสังวรในภัยพิบัตินี้ด้วย เพราะรายงานของ IPCC ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ฉบับวันที่ 30 มีนาคมศกนี้ แสดงให้เห็นว่าในอีก 500 ปีน้ำแข็งบนทวีปแอนตาร์กติกาจะละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงเพิ่มขึ้นกว่า 15 เมตร และเวลาน้ำแข็งละลาย น้ำที่เกิดขึ้นบางส่วนจะไหลไปอยู่ในรอยแตกของน้ำแข็ง ครั้นเมื่ออุณหภูมิลดต่ำมันจะขยายตัว ดันให้น้ำแข็งแตก (น้ำที่ 4°C มีความหนาแน่นมากที่สุด ดังนั้นเวลาอุณหภูมิลดจาก 4 เป็น 0 องศา น้ำจะขยายตัว)

สำหรับประเทศไทยในอีก 500 ปี ถ้าระดับน้ำเพิ่ม 15 เมตรจริงๆ แผนที่ของประเทศจะเป็นเช่นไร ไม่มีใครรรู้

อ่านเพิ่มเติมจาก Will Pacific Island Nations Disappears as Seas Rise? Maybe Not: Reef Island can grow and change shape as sediments shift, study shows. โดย K. Warnes ใน National Geographic ฉบับ February 2015

เกี่ยวกับผู้เขียน

สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์














กำลังโหลดความคิดเห็น