เมื่อปีกลายนี้ (2015) ที่พิพิธภัณฑ์ National Gallery ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษได้มีงานแสดงภาพเหมือนที่วาดโดยศิลปินชาวสเปน Francisco de Goya ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ภาพที่นำออกแสดงมีจำนวน 70 ภาพ ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของภาพเหมือนทั้งหมดที่ Goya เคยวาด จุดประสงค์หลักของงานคือให้ผู้เข้าชมตระหนักและยอมรับว่า Goya คือศิลปินภาพเหมือนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก และให้ผู้เข้าชมได้เห็นวิวัฒนาการด้านสไตล์และความสามารถในการวาดภาพเหมือนของ Goya ตั้งแต่หนุ่มจนชรา งานแสดงนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพิพิธภัณฑ์ Prado ในสเปนและจากพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ที่บราซิล เม็กซิโก สวีเดน และอเมริกา
ภาพเหมือนภาพหนึ่งที่เป็นไฮท์ไลท์ของงานคือ ภาพ “The Duchess of Alba” ที่ Goya วัย 35 ปีวาดในปี 1797 ขณะนี้ภาพวาดขนาด 210 x 149 เซนติเมตรเป็นของสมาคม Hispanic Society แห่ง New York ซึ่งได้ยินดีให้ National Gallery ยืมมาจัดแสดง
จุดสนใจและคำถามที่ทำให้ทุกคนใคร่รู้คำตอบคือศิลปิน Goya กับท่านดัชเชสมีความสัมพันธ์สวาทกันหรือไม่ และถ้ามี ความผูกพันนั้นอยู่ในระดับใด
ท่านดัชเชสมีชื่อเต็มว่า Maria del Pilar Teresa Cayetana de Silva Alvarez de Toledo y Silva, Thirteenth Duchess of Alba หรือที่คนทั่วไปนิยมเรียกสั้นๆ ว่า Duchess of Alba ที่ 13
ในภาพเราจะเห็นเธอมีลีลาท่ายืนเหมือนเป็นซุปสตาร์ที่สง่างาม และสะสวยดังราชินีผู้สูงศักดิ์ เธอสวมกระโปรงดำ ที่ผมและไหล่มีผ้าลูกไม้คลุม ท่ายืนท้าวสะเอว ลำคอตั้งตรง และใบหน้าสงบ ไม่แสดงออกซึ่งความรู้สึกใดๆ ตาของเธอมีสีดำ ใบหน้ามีคิ้วดก และบริเวณโหนกแก้มขวามีปานดำ การที่เธอแต่งดำไว้ทุกข์ เพราะสามี Duke of Alba เพิ่งเสียชีวิต กระนั้นเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่ก็มีสีอื่นปนอยู่บ้าง เช่น แขนเสื้อเป็นสีทอง ผมมีริบบิ้นสีขาว และผ้าคาดเอวมีสีแดง
เพราะเธอเป็นคนร่างเล็ก ดังนั้น Goya จึงวาดให้เธอยืนโดดเดี่ยวคนเดียวอยู่กลางภาพ โดยไม่มีใครให้เปรียบเทียบความสูง ข้างตัวเธอไม่มีต้นไม้ ดอกไม้ เก้าอี้ หรือโต๊ะใดๆ ฉากหลังเป็นภาพของภูมิประเทศแถบ Andalusia ที่เวิ้งว้าง เพราะท่านดัชเชสเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่นี่ และที่ใกล้คฤหาสถ์มีเคบินหลังเล็กสำหรับให้ท่าน Duke ผู้สามีได้มาพักผ่อน เวลาออกป่าล่าสัตว์
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งที่เป็นประเด็นสงสัยทำให้ผู้คนคิดกันไปต่างๆ นานา คือ แหวนทองคำที่เธอสวมอยู่นั้นเป็นแหวนที่เธอได้จากสามี เพราะมีตัวอักษรสลักบนแหวนว่า Alba แต่ที่นิ้วชี้มือขวามีแถบผ้าสีทองที่มีลายปักว่า Goya และนิ้วนั้นชี้ตรงลงที่พื้น ตรงบริเวณปลายเท้าของเธอที่มีคำเขียนว่า “siempre Goya” ซึ่งแปลว่า “โกย่าตลอดไป”
ในความเป็นจริง ไม่มีใครได้เห็นคำ “siempre” ปรากฏอยู่ในภาพนี้จนกระทั่ง 20 ปีก่อนเมื่อภาพได้รับการบูรณะ และผู้บูรณะได้เห็นคำ siempre ปรากฏเลือนๆ จึงสันนิษฐานว่าคงโดยคนบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ระหว่าง Goya กับแม่หม้าย เพราะทั้งสองมีฐานะทางสังคมที่แตกต่างกันมาก คือ ดัชเชสเป็นคนอ่อนหวาน และสูงศักดิ์ ส่วน Goya เป็นคนต่ำช้า และหูหนวก แต่สำหรับคนที่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ต่างฐานะ คำจารึกนั้นคือการประกาศรักที่ Duchess มีต่อ Goya
แต่ก็เป็นไปได้ว่า Goya ได้แอบเขียนคำ “sienpre Goya” ลงในภาพโดยพลการ คือไม่ให้ดัชเชสรู้ความในใจ และความฝันของยาจกคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันจะครองใจดอกฟ้า หรือไม่ก็ Goya ได้พยายามบอกทุกคนว่า คนที่จะวาดภาพของ Duchess ได้คือ Goya เพียงคนเดียว
ท่านดัชเชสแห่ง Alba เกิดเมื่อปี 1762 (ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์) เป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว และเป็นหลานสาวคนเดียวของท่าน Duke of Alba ซึ่งเป็นคนที่มีความทระนงในการมีเชื้อสายกษัตริย์ เมื่อมีลูกสาว บิดาซึ่งต้องการจะมีหลานไว้สืบวงศ์ตระกูลจึงจัดการให้เธอเข้าพิธีแต่งงานตั้งแต่เธออายุ 13 ปีกับท่าน Duke of Villafranca ซึ่งมีอายุมากกว่า 6 ปี และท่าน Duke of Alba ก็ได้บังคับให้เจ้าบ่าวเปลี่ยนชื่อเป็น Duke of Alba หลังการแต่งงานด้วย
การเป็นลูกคนเดียวและหลานคนเดียวของวงศ์ตระกูลทำให้ดัชเชสเป็นคนที่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง และต้องการให้ทุกคนเอาอกเอาใจเธอ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆ ต่อความรู้สึกของคนรอบข้าง เธอชอบแต่งตัวยั่วยวนบรรดาหนุ่มนักสู้วัวกระทิงและผู้ชายที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าให้มาหลงรักเธอ แล้วแกล้งให้อับอายขายหน้าจนดูเป็นตัวตลก เช่น สั่งอาหารแพงๆ มากิน เมื่อผู้ชายที่มาติดพันเธอ ไม่มีเงินจ่ายค่าอาหาร จึงต้องนำกางเกงที่สวมอยู่ไปจำนำกับเจ้าของร้านอาหาร เป็นต้น
หลังการแต่งงาน แพทย์ได้ตรวจพบว่า เธอไม่สามารถมีทายาทได้ เธอจึงรู้สึกเครียดและงุ่นง่านมาก จึงประสงค์จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างลืมตัว การเป็นคนหลงตัวเองมาก จึงไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ รูปร่างที่สวย และฐานะทางสังคมที่สูงและร่ำรวยทำให้สตรีชาวสเปนชั้นกลางและสูงแทบทุกคนอิจฉาเธอ แต่ชาวบ้านทั่วไปกลับยกย่องเธอ นักหนังสือพิมพ์ชอบลงข่าวเกี่ยวกับเธอแทบทุกวัน ด้านสามีของเธอเป็นคนมีสุขภาพอ่อนแอ ดังนั้นจึงมีอารมณ์เฉื่อยชาต่อชีวิต และปล่อยให้ภรรยาดำเนินวิถีชีวิตในรูปแบบที่เธอปรารถนา จนเป็นที่ครหานินทาไปทั่วกรุง Madrid
ในปี 1789 ได้เกิดการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ในฝรั่งเศส การปฏิรูปของฝรั่งเศสในครั้งนั้นทำให้ชาวสเปนจำนวนมากต้องการให้สเปนมีการปฏิวัติบ้าง เพราะสถาบันกษัตริย์และสถาบันศาสนาของสเปนก็กำลังตกต่ำเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการที่สมเด็จพระราชินี Maria Louissa แห่งสเปน ทรงมีพระบุคลิกภาพเข้มแข็งยิ่งกว่าพระเจ้า Charles ที่ 4 พระนางจึงทรงโปรดให้ชู้รักชื่อ Manuel Godoy วัย 25 ปี ขึ้นบริหารราชการบ้านเมืองแทนในปี 1792 แต่ Godoy เป็นคนไม่มีความสามารถในการปกครองประเทศเลย ดังนั้น สเปนจึงตกอยู่ในสภาพแตกแยกและวุ่นวาย ครั้นเมื่อสเปนเซ็นสัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศส เพื่อไปจับมือเป็นแนวร่วมในการต่อสู้กับอังกฤษ ประชาชนสเปนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการชักศึกเข้าบ้าน เพราะไม่ชอบให้สเปนเดินตามคำสั่งของฝรั่งเศส ดังนั้น สงครามกลางเมืองจึงเกิดขึ้นทั่วประเทศ และต้องใช้เวลานานถึง 20 ปีจึงยุติ
ในเบื้องต้น กลุ่มชนที่นิยมการปฏิวัติแบบฝรั่งเศสได้วางแผนสร้างสเปนให้มีการปกครองแบบฝรั่งเศส แต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ คือ ต้องการให้สเปนเป็นตัวของตัวเอง คนกลุ่มนี้จึงนิยมแต่งตัวแนวมาโช macho (สำหรับผู้ชาย) และมาชา maja (สำหรับผู้หญิง) ที่นิยมดูการต่อสู้วัวกระทิง แทนที่จะไปฟังดนตรีหรือดูพิพิธภัณฑ์แบบคนไฮโซของฝรั่งเศส
ท่านดัชเชสแห่ง Alba ได้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าของกลุ่มอนุรักษณ์นิยมกลุ่มนี้ เธอโล๊ะทิ้งเสื้อผ้าทุกชุดที่ตัดตามแฟชั่นฝรั่งเศส และหันมาสวมกระโปรงดำ มีผ้าคลุมไหล่ที่ทอด้วยลูกไม้แทน เวลายืนเธอต้องท้าวสะเอว เพราะมาช่ามีภาพลักษณ์ว่าต้องเป็นคนร้อนแรง เร่าร้อน และสามารถตอบคำถามละลาบละล้วงต่างๆ ได้อย่างถึงลูกถึงคน
ในรูปวาด ท่าน Duchess จึงดูสมส่วนและบอบบาง อีกทั้งเป็นคนมีชีวิตชีวา ขณะนั่งเป็นนางแบบให้ Goya วาด เธอมีอายุ 35 ปี
ด้าน Goya เกิดที่เมือง Saragossa ในสเปนเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ.1746 (ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าบรมโกษฐ์) ในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ตั้งแต่เด็ก Goya ชอบใช้ชีวิตเป็นนักผจญภัย และเป็นนักต่อสู้วัวกระทิง เมื่ออายุ 14 ปี ได้เข้าเรียนศิลปะกับจิตรกร Jose Lyzon และพยายามสอบเข้าเรียนศิลปะที่ Real Academia de San Fernando แต่สอบเข้าไม่ได้ จึงเดินทางไปโรมเพื่อฝึกวาดภาพต่อ ขณะอยู่ที่อิตาลีเคยชนะการวาดภาพและได้รับรางวัลจาก Royal Academy of Fine Arts แห่งเมือง Parma ด้วยภาพ Hannibal Crossing the Alps
เมื่ออายุ 28 ปี Goya เดินทางกลับ Madrid และรับจ้างวาดภาพให้พวกขุนนาง กษัตริย์ นักบวช เวลาว่างชอบดื่มสุรากับพวกหนุ่มนักเลงอย่างสบายๆ ชอบแต่งตัวแนวอันธพาล ฟังดนตรี และเต้นรำกับสตรีไฮโซรูปงาม
Goya มีความคิดว่า การวาดภาพเป็นอาชีพที่ทำให้ศิลปินร่ำรวย และมีชื่อเสียง
ดังนั้นภายในเวลาต่อมาไม่นาน สังคมชั้นสูงก็เริ่มรู้จัก เพราะ Goya มักวาดภาพของลูกค้าให้เหมาะสมกับฐานะทางสังคมของลูกค้าคนนั้น คนเหล่านี้หลายคนในเวลาต่อมาได้กลายเป็นเพื่อนของ Goya
ในปี 1789 Goya ได้รับเลือกเป็นจิตรกรประจำราชสำนัก เป็นจิตรกรสเปนผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ จากนั้นไม่นานก็ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นผู้อำนวยการ Royal Academy แห่ง Madrid แล้วชีวิตก็เริ่มตกต่ำ เพราะล้มป่วยหนัก ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1793 ขณะพักอยู่ที่เมือง Cadiz หูของ Goya เริ่มหนวก และเดินทรงตัวไม่ได้ จึงเดินทางกลับ Madrid เมื่อหูหนวกสนิท อารมณ์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เวลานอน Goya มักฝันร้ายเห็นปีศาจ และอสุรกายตลอดเวลา
ขณะที่สุขภาพกายและใจย่ำแย่นี้ Goya เริ่มมีความสัมพันธ์กับ Duchess และวาดภาพแรกของเธอในปี 1975 เพราะ Duchess ชอบมีนักแสดง และหนุ่มนักสู้วัวห้อมล้อม Goya จึงเป็นบุคคลหนึ่งในสเปค
ในระหว่างปี 1796-1797 คนทั้งสองใช้เวลาร่วมกันหลายเดือนที่ Andalusia ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเกิดจากความแตกต่าง มิใช่เกิดจากความเหมือนหรือความคล้าย ดังจะเห็นได้จากที่ Goya หูหนวก และหน้าตาน่าเกลียด แต่เก่งระดับอัจฉริยะ จึงอาจเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ผู้หญิงที่มีฐานะทางสังคมชอบมีความสัมพันธ์ด้วย
แต่หลังปี 1797 Goya มิได้มีโอกาสวาดภาพของดัชเชสอีกเลย และภาพนี้ก็ยังอยู่กับ Goya จนกระทั่งภรรยา Goya ตาย Goya จึงมอบภาพให้ลูกชาย เพราะไม่ต้องการเก็บความหลังที่ขมขื่นไว้ใกล้ตัว
เมื่อดัชเชสเสียชีวิตในปี 1802 ขณะอายุ 40 ปี พระราชินีสเปน ซึ่งเป็นคู่แข่งด้านความสวยของเธอ ได้ซื้อภาพวาดอื่นๆ และเพชรนิลจินดาของเธอไปหมด และปล่อยข่าวว่า เธอถูกวางยา แต่ไม่มีใครพิสูจน์อะไรได้
ทายาทของเธอได้จัดการขุดศพมาพิสูจน์ และการชันสูตรก็ไม่ปรากฏว่า เธอถูกวางยาแต่อย่างใด แต่ศพถูกตัดขาทั้งสองข้าง ซึ่งคงจะเป็นเพราะผู้คนมีความเชื่อว่า เมื่อศพไม่มีขา วิญญาณก็เดินกลับบ้านไม่ได้
อ่านเพิ่มเติมจาก Francisco Goya: A Life โดย Evan S. Connell จัดพิมพ์โดย New York Counterpoint ปี 2004
เกี่ยวกับผู้เขียน
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์