นักวิจัย มจธ. เสริมคุณค่าสมุนไพร พัฒนาวิธีการผลิตสารจากใบบัวบก ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสตัวการก่อเม็ดสีเมลานินในผิว เพื่อใช้ในเครื่องสำอาง เพื่อให้ได้สารสกัดธรรมชาติแท้ที่มีประสิทธิภาพนำไปใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง เพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค หวังผลักดันผลิตภัณฑ์ไทยสู่ตลาดสากล
จากเหตุผลว่าคนไทยนิยมใช้สินค้าต่างประเทศ รวมถึงผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากต่างประเทศ จนมีมูลค่านำเข้าสมุนไพรต่างประเทศถึงปีละ 2.7 หมื่นล้านบาท แม้ตลาดสมุนไพรกำลังเติบโตและขยายตัว แต่มีผลิตใช้เองเพียงปีละ 1.3 ล้านบาท เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จึงพัฒนาวิธีสกัดสารสำคัญในสมุนไพรเพื่อใช้ในเครื่องสำอาง
รศ.ดร.ณัฎฐา เลาหกุลจิตต์ และ รศ.ดร.อรพิน เกิดชูชื่น อาจารย์จากคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้พัฒนา กรรมวิธีการสกัดสารยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสจากใบบัวบกเพื่อใช้ในเครื่องสำอาง โดย รศ.ดร.ณัฎฐา กล่าวว่า เลือกศึกษา “ใบบัวบก” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มมูลค่าให้แก่พืชพื้นบ้านของไทย
“ประเทศไทยมีแดดแรง และอันตรายจากรังสียูวีก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดความบกพร่องบนผิวของคนไทย เนื่องจากเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเกิดริ้วรอย เป็นฝ้า กระ และจุดด่างดำ ที่มีผลมาจากเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทมากที่สุดในการเร่งการสังเคราะห์เมลานินในเมลาโนไซต์ ซึ่งมีผลต่อกระบวนการสร้างเม็ดสี ดังนั้นนอกจากการปกป้องผิวจากรังสียูวีแล้ว เราจึงต้องยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสด้วย และจากการศึกษาพืชจำนวน 13 ชนิด อาทิ ใบบัวบก ขมิ้นชัน ไพล ทานาคา ปอสา ถั่วเหลือง แตงกวา ขิง ว่านหางจระเข้ ฯลฯ พบว่า สารสกัดจากใบบัวบกมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ดีที่สุด เราจึงพัฒนากรรมวิธีสกัดสารจากใบบัวบกให้ได้สารที่บริสุทธิ์ มีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อผู้ใช้มากที่สุด”
รศ.ดร.ณัฎฐา เปิดเผยว่า กรรมวิธีการสกัดสารยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสจากใบบัวบกเพื่อใช้ในเครื่องสำอางนั้นได้รับการอนุสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนในการสกัดนั้นมีการใช้ใบบัวบกสดและแห้ง โดยการศึกษาใช้ตัวทำละลาย 2 ชนิดคือ เอทานอล และปิโตรเลียมอีเทอร์ พบว่า ตัวทำละลาย 99% เอทานอลมีประสิทธิภาพในการสกัดสารจากใบบัวบกได้ดีกว่า และถือเป็นตัวทำละลายที่ปลอดภัยตามหลักของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งในกรรมวิธีที่ได้รับอนุสิทธิบัตรนี้ยังมีอีกหลายขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ได้สารสกัดจากธรรมชาติแท้ที่มีความบริสุทธิ์ มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง
โดยจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า สารสกัดจากใบบัวบกสดมีฤทธิ์ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสาร ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ดีกว่าใบบัวบกแห้ง โดยการทดลองนำสารสกัดจากใบบัวบกความเข้มข้นต่ำสุดที่ให้ค่า การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสร้อยละ 50 (IC50) หรือเท่ากับ 446 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ผสมเข้ากับเบสครีม พบว่าสารสกัดใบบัวบกสดจากเอทานอลมีรูปแบบการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสแบบผสม เนื่องจากมีสารสำคัญอย่าง อาร์บูติน และกรดมาดีแคชโซไซด์ ซึ่งเป็นสารที่สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ดี
อีกทั้งจากการทดลองบนผิวหน้าของอาสาสมัครจำนวน 5 คน ที่มีรอยกระฝ้า และจุดด่างดำที่เกิดจากแสงแดด โดยการทาครีมที่ผสมสารสกัดใบบัวบกวันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 8 วัน พบว่า ไม่มีอาการแพ้ หรือแสบแดง และสามารถลดปัญหารอยหมองคล้ำบนผิวได้อย่างชัดเจน โดยการวัดค่าความสว่างของผิวด้วยเครื่องวัดสีในห้องปฏิบัติการทุกๆ 2 วัน สภาพผิวของอาสาสมัครมีความสว่างเพิ่มขึ้น (วัดเป็นค่าเดลต้า L) และมีค่าสีเหลืองเพิ่มขึ้น (วัดเป็นค่าเดลต้า B)
“อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้เป็นเพียงองค์ความรู้ในเรื่องกรรมวิธีการสกัดสารจากใบบัวบกด้วยเอทานอล เพื่อส่งเสริมการยกระดับคุณภาพพืชพื้นบ้านของไทยให้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติแท้ที่บริสุทธิ์ ปลอดภัยต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง เป็นการพัฒนาศักยภาพของผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย แต่การต่อยอดจากกรรมวิธีสกัดสู่ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรนั้นยังจะต้องมีการพัฒนาในเรื่องของอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์ต่อไปเมื่อนำมาผสมในเบสครีมแล้ว เนื่องจากเป็นสารสกัดจากสมุนไพรบริสุทธิ์ที่ไม่มีสารสังเคราะห์มาเจือปน จึงอาจทำให้อายุในการเก็บรักษาสั้นกว่าปกติ”