xs
xsm
sm
md
lg

Ignaz Semmelweis ผู้บุกเบิกมาตรฐานความสะอาดการผ่าตัด ​

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

ภาพสลักของ Ignaz Semmelweis โดย Jenő Doby
เมื่อคนไข้คนแรกของ Ignaz Semmelweis เสียชีวิต เขายอมรับว่า ในวันนั้นเขาได้พยายามทัดทานและชักจูงเธอเป็นเวลานานเพื่อให้ยินยอมให้เขารักษา หลังจากที่ศพถูกนำออกจากห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัย Vienna ในออสเตรีย Semmelweis ก็ยังจำเหตุการณ์ที่เกิดก่อนที่เธอจะเสียชีวิตได้ดีว่า เธอมีอาการคลุ้มคลั่งทั้งหัวเราะ และร้องไห้สลับกันตลอดเวลา เมื่อเขาถามว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไร เธอตอบว่า "กลัว" เขาจึงถามต่อว่ากลัวอะไร เธอตอบว่ากลัวตาย และขอกลับบ้านท่าเดียว พร้อมกับกล่าวเสริมว่า เธอไม่ควรมาพักรักษาตัวหลังคลอดที่ตึกสูตินารีนี้เลย แต่ควรไปที่อีกตึกหนึ่ง ซึ่งมีนางผดุงครรภ์ดูแลมากกว่า เพราะตึกที่มีนางผดุงครรภ์เป็นผู้ดูแลไม่มีเตียงว่าง เธอจึงต้องมาที่ตึกซึ่งมีแพทย์เป็นคนรับผิดชอบแทน

ณ เวลานั้นโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัย Vienna มีตึกสำหรับสตรีหลังคลอดสองตึก ตึกแรกเป็นสถานที่สอนสูตินารีเวชวิทยา ซึ่งมีแพทย์ประจำ แต่อีกตึกหนึ่งเป็นสถานที่สอนวิชาพยาบาล และมีนางผดุงครรภ์ดูแล
​นับตั้งแต่วันที่คนไข้ถูกส่งตัวมาให้แพทย์ดูแล คนไข้ได้รบเร้าขอไปพักรักษาตัวที่ตึกพยาบาลผดุงครรภ์ จน Semmelweis สงสัยว่าเหตุใดคนไข้จึงไว้ใจนางพยาบาลยิ่งกว่าแพทย์ และก็ได้คำตอบว่า ใครที่ถูกส่งมาให้แพทย์รักษา มีโอกาสที่จะเสียชีวิตค่อนข้างมาก แต่ที่ตึกพยาบาลผดุงครรภ์ คนไข้จะปลอดภัยกว่า แล้วความกลัวของเธอก็เป็นจริง เพราะหลังจากนั้นไม่นานเธอก็เสียชีวิต

​ในคืนที่คนไข้คนนั้นตาย Semmelweis นอนไม่หลับ คำพูดทุกคำของเธอยังดังก้องในหูเขาตลอดเวลา เธอย้ำกับเขาว่า ใครที่มาพักที่ตึกนี้ต้องตายทุกคน แต่ที่อีกตึกหนึ่งคนไข้จะรอดชีวิต Semmelweis ใคร่จะรู้ว่าเธออ้างความเชื่อนี้จากที่ใด และข้อมูลที่อ้างนั้นเป็นจริงเพียงใด

​ในเวลาเช้าของวันต่อมา Semmelweis จึงไปขอสถิติข้อมูลการเสียชีวิตของหญิงมีครรภ์หลังคลอดจากฝ่ายทะเบียนของโรงพยาบาล และพบว่าเมื่อนับย้อนหลังไป 6 ปีที่ตึกสูติฯ มีผู้เสียชีวิตหลังคลอด 1989 คน แต่ที่ตึกผดุงครรภ์ในช่วงเวลาเดียวกันจำนวนผู้เสียชีวิตมี 691 คน จึงคิดเป็นอัตราส่วน 3:1 ซึ่งนับว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ตามปกติ แพทย์มักพบว่า สำหรับสตรีที่คลอดบุตรใหม่ๆ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา มักแสดงอาการว่าภายในเวลาสี่วันหลังคลอด ร่างกายจะหนาวสั่น มีไข้และท้องบวม เมื่อไข้กำเริบมากขึ้นๆ ในที่สุดคนไข้ก็จะตาย การผ่าศพแสดงให้เห็นว่า อวัยวะภายในมีหนอง นั่นแสดงว่าคนไข้เสียชีวิตด้วยโรคช่องท้องอักเสบ (peritonitis) หรือหลอดโลหิตดำอักเสบ (phlebitis) หรือเยื่อหุ้มประสาทสมองและไขสันหลังอักเสบ (meningitis) หรือหลอดน้ำเหลืองอักเสบ (lymphangitis)

วิชาสูตินารีเวชที่ Semmelweis ได้ร่ำเรียนมาถือกำเนิดเมื่อ ค.ศ.1690 โดยแพทย์ชื่อ Peter Chamberlen และนับตั้งแต่นั้นแพทย์ได้เข้ามามีบทบาทในการทำคลอดแทนนางผดุงครรภ์ แต่ยังทำได้ไม่ดีนัก เพราะหลังคลอดไม่นาน สตรีจำนวนมากก็ยังเสียชีวิต ดังนั้นสตรีในสมัยนั้นจึงกลัวการตั้งครรภ์มาก ครั้นเมื่อตั้งครรภ์แล้วก็กลัวการฝากท้องที่โรงพยาบาล บางคนพยายามถ่วงเวลาจะไปฝากครรภ์ โดยหวังจะคลอดลูกกลางถนนก็ยังดีกว่าไปคลอดที่โรงพยาบาล สำหรับสตรีที่มีฐานะดีมักจ้างหมอดูแลครรภ์และทำคลอดที่บ้าน

ดังนั้นเมื่อ Semmelweis เห็นตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิต เขาก็ตระหนักทันทีว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นที่ตึกที่มีแพทย์ดูแล และรู้สึกทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้คนไข้เสียชีวิตไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะคนที่เป็นหมอต้องมีใจเมตตา ถ้าหมอไม่มีความเอื้ออาทรเลย ก็ไม่ควรประกอบอาชีพหมอ

Semmelweis ยังจดจำคำเตือนของพ่อที่เคยห้ามมิให้ตนเรียนแพทย์ว่า หมอต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของคนไข้ ดังนั้น ถ้าจะไม่ให้รู้สึกหนักใจ ก็ควรเรียนกฎหมาย แต่ Semmelweis ไม่เชื่อคำแนะนำของพ่อ เพราะได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเป็นแพทย์ จึงเดินหน้าร่ำเรียนจนสำเร็จเป็นแพทย์ในที่สุด แต่เขาก็รู้สึกห่อเหี่ยวทุกครั้งที่เห็นคนไข้ตาย ในขณะที่เพื่อนแพทย์คนอื่นวางเฉย บางคนก็พูดทำนอง “ก็ทำบุญมาแค่นั้น” บางคนกล่าวเพียงว่า “เสียใจ”

Semmelweis เองคิดว่า ความเสียใจของคนทั้งโลกก็ไม่สามารถช่วยชีวิตใครได้ ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีป้องกัน และต้องรู้วิธีแก้ไขสาเหตุการเสียชีวิตของคนไข้ทุกคน

สำหรับกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ Semmelweis ไม่เข้าใจว่า เหตุใดคนที่คลอดลูกใหม่ๆ จึงมีโอกาสตายที่ตึกหนึ่งมากกว่าที่อีกตึกหนึ่ง และเหตุใดแพทย์จึงสู้นางผดุงครรภ์ในการดูแลคนไข้ไม่ได้ Semmelweis คิดจะถามคำถามนี้กับผู้บังคับบัญชา Johann Klein แต่เกรงว่าจะไม่ได้คำตอบ ดีไม่ดีเขาอาจต้องหางานใหม่

Semmelweis จึงเริ่มเก็บข้อมูลจากทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพื่อหาสาเหตุ และพบว่า คำตอบที่ได้ล้วนไม่มีสาระและไร้เหตุผล เช่น บางคนบอกว่า ความกลัวจนลนลานคือสาเหตุหลัก บางคนบอกว่าเทคนิคทำคลอดของแพทย์รุนแรงเกินไป ในขณะที่นางผดุงครรภ์ใช้วิธีที่นุ่มนวลกว่า Semmelweiss ไม่เชื่อในเหตุผลเหล่านี้ เขาคิดว่า คำตอบน่าจะอยู่ที่ประเด็นว่า ตึกทั้งสองตึกมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างกัน นั่นคือ ตึกหนึ่งมีอะไรที่ตึกสองไม่มี

Semmelweis ครุ่นคิดหาคำตอบสำหรับเรื่องนี้ทั้งวันและคืน ในขณะที่คนไข้ก็เสียชีวิตไปเรื่อยๆ ทุกวัน วันละหลายคน เขารู้สึกเสมือนว่าตนกำลังพ่ายแพ้ต่อปัญหา เมื่อความกังวลเพิ่ม คุณภาพของงานก็ลด ในที่สุด Semmelweis ก็ถูกเลิกจ้าง และได้งานใหม่กับ Josef Skoda และ Jakob Kolletschka ผู้สนใจปัญหาเดียวกับเขา ทั้งสองได้ปลอบใจ Semmelweis ว่า ในวัยหนุ่ม บางคนทนความกดดันจากผู้บังคับบัญชาไม่ได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ทุกคนจะทนความบีบคั้นได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเริ่มงานใหม่ แพทย์ทั้งสองได้อนุญาตให้ Semmelweis เดินทางไปพักผ่อนที่ Venice ในอิตาลี เพื่อล่องเรือกอนโดลาตาม Grand Canal และดู Bridge of Sighs เป็นเวลานานหนึ่งสัปดาห์
ภาพคู่แต่งงานระหว่าง  Ignaz Semmelweis และ Maria Weidenhoffer
เมื่อกลับจากการพักผ่อนที่ Venice จิตใจของ Semmelweis ก็รู้สึกดีขึ้นมาก ยิ่งเมื่อได้ข่าวว่า ตำแหน่งเดิมของตนที่โรงพยาบาล Vienna ยังไม่มีใครแทน Skoda จึงอาศัยบารมีนำ Semmelweis กลับไปครองตำแหน่งเดิม แต่ Semmelweis ได้ทราบข่าวร้ายว่า อาจารย์ Kolletschka ที่เคยสอนตนได้เสียชีวิตลงเพราะมือถูกมีดบาด และแผลได้อักเสบอย่างรุนแรงจนเสียชีวิตในวันที่ Semmelweis เดินทางถึง Vienna Semmelweiss จึงรีบไปที่โรงพยาบาลเพื่อคารวะศพอาจารย์เป็นการอำลาครั้งสุดท้าย

ในห้องชันสูตรศพ Semmelweiss รู้สึกหดหู่ และเศร้าใจมากเมื่อเห็นศพอาจารย์ แต่เมื่อได้ยินเสียงหมอที่ชันสูตรศพกล่าวว่า Kolletschka อาจเสียชีวิตด้วยโรค peritonitis หรือ meningitis หรือ lymphangitis ซึ่งเป็นโรคที่ Semmelweis รู้ดีว่า มักเกิดในสตรีหลังคลอดบุตรใหม่ๆ แต่ Kolletschka เป็นผู้ชาย เขาไม่น่าจะตายด้วยโรคสตรีเลย

อย่างไรก็ตาม Semmelweis ก็ตระหนักว่าในภาพรวม Kolletschka ได้เสียชีวิตด้วยโรคโลหิตเป็นพิษ และเชื้อโรคที่เขาได้รับจะต้องมาจากศพที่ Kolletschka ชำแหละ Semmelweis จึงตั้งชื่อโรคนี้ว่า cadaveric poisoning (โรคพิษจากศพ) ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปคือพิษนี้เข้าไปในร่างกายของ Kolletschka ได้อย่างไร

หลังจากที่ Semmelweis ได้ตรึกตรองหนัก เขาก็พบว่าที่ตึกซึ่งมีแพทย์เป็นหัวหน้า หลังจากที่ศัลยแพทย์เสร็จสิ้นการชำแหละศพ ทุกคนมักเช็ดมือกับผ้าเช็ดตัว แล้วเดินไปทำคลอดสตรีทันที แต่ที่ตึกนางผดุงครรภ์ผู้ไม่ได้ทำงานในห้องชำแหละศพ ดังนั้นจะไม่มีโอกาสนำพิษใดๆ ไปสู่สตรีมีครรภ์ นี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตในตึกทั้งสองแตกต่างกัน

ดังนั้นในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ.1847 Semmelweis จึงติดประกาศที่หน้าห้องคลอดทุกห้องในโรงพยาบาล Vienna ว่า ให้แพทย์และพยาบาลทุกคนที่เดินออกจากห้องผ่าศพ ก่อนจะไปทำงานในห้องคลอด ต้องล้างมือทั้งสองข้างให้สะอาดหมดจดด้วยน้ำคลอรีน

วันนั้นจึงเป็นวันสำคัญมากที่สุดวันหนึ่งในประวัติศาสตร์การแพทย์ของโลก
หลังจากที่ Semmelweis ออกกฎบังคับให้แพทย์ทุกคนล้างมือให้สะอาดก่อนลงมือผ่าตัด หรือทำคลอด สถิติการเสียชีวิตของคนไข้สตรีหลังคลอดก็ลดลงๆ ในปี 1846 จากจำนวนผู้เสียชีวิตที่ตึกแพทย์คิดเป็น 11.4% ของคนไข้ทั้งหมด อีกสองปีต่อมา จำนวนผู้เสียชีวิตได้ลดเหลือเพียง 1.27%

ความสำเร็จของ Semmelweis เกิดจากการรู้ว่ามีอะไรบางอย่างได้เดินทางจากศพไปสู่สตรีหลังคลอด และอะไรบางอย่างนั้นได้ออกจากมือแพทย์ ทั้งๆ ที่แพทย์ได้ผ่าศพเสร็จไปแล้วหลายชั่วโมง

Ignaz Semmelweis เกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม ค.ศ.1818 (ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ที่หมู่บ้าน Taban ใกล้เมือง Buda ในฮังการี ครอบครัวมีลูก 10 คนโดย Semmelweis เป็นลูกคนที่ 5 หัวหน้าครอบครัวชื่อ Josef ส่วนมารดาชื่อ Teresia ครอบครัวนี้ทำธุรกิจเครื่องเทศและมีฐานะดี

เมื่ออายุ 19 ปี Semmelweis ได้ไปเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัย Vienna และพบว่าวิชานิติศาสตร์ไม่ถูกกับนิสัยตนเลย จึงเปลี่ยนไปเรียนแพทย์แทน และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก เมื่ออายุ 26 ปี แต่ไม่สามารถเป็นอาจารย์แพทย์ด้านอายุรศาสตร์ได้ จึงตัดสินใจเป็นสูตินารีแพทย์โดยมีผู้บังคับบัญชาคือ Johann Klein เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ.1846 และมีหน้าที่เตรียมความพร้อมของห้องตรวจไข้ให้ Klein ทุกวัน รวมถึงช่วย Klein ในกรณีที่การคลอดมีปัญหา นอกจากนี้ก็ต้องสอนหนังสือ และทำหน้าที่เป็นเลขานุการของภาควิชาด้วย

ออสเตรียในสมัยนั้นมีหน่วยงานและองค์กรมากมายทำหน้าที่ดูแลสตรีหลังคลอดบุตรใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม และให้สตรียากจน กับโสเภณีใช้บริการโดยไม่เสียค่าทำคลอด ในขณะเดียวกันก็ให้โรงพยาบาลเป็นสถานที่ฝึกทำคลอดให้นิสิตแพทย์ด้วย นอกจากนี้โรงพยาบาลก็มีหน้าที่ปกป้องชีวิตของทารก ที่อาจถูกแม่ฆ่าเพราะเป็นลูกนอกกฎหมาย หรือเป็นลูกที่พ่อไม่ยอมรับด้วย

ที่ตึกสูติฯ ในโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัย Vienna เมื่อ Semmelweis เริ่มทำงานนั้นมีสถิติการเสียชีวิตที่ตึกแรกเป็นประมาณ 10% และที่ตึกสอง 4% เมื่อสถิตินี้ปรากฏต่อสาธารณะเหล่าสตรีมีครรภ์จึงหลั่งไหลไปขอใช้บริการที่ตึกสอง และไม่มีใครยินยอมไปที่ตึกหนึ่ง เมื่อถูกบังคับให้ไปตึกหนึ่งสตรีบางคนยอมคลอดลูกกลางถนน เพื่อจะได้เงินสวัสดิการ แล้วกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน แต่ Semmelweis ก็พบว่าสตรีที่คลอดลูกกลางถนนมักเสียชีวิตในจำนวนมากเท่ากับพวกที่คลอดที่ตึกหนึ่งในโรงพยาบาล

ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1847 มีสตรีคนหนึ่งเข้ารับการรักษามะเร็งปากมดลูก Semmelweis ได้สำรวจพบว่า ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นมาพักรักษาตัว สตรีมีครรภ์ 11 คน จาก 12 คนได้เสียชีวิต นี่เป็นการสูญเสียที่ร้ายแรงมาก Semmelweis รู้สึกมั่นใจว่า จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้วที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่เขาได้ตั้งกฎบังคับให้แพทย์ทุกคนล้างมือให้สะอาดก่อนเดินเข้าห้องคลอด ในที่สุด Semmelweis ก็ได้พบว่า สตรีที่เป็นมะเร็งคนนั้นถูกจัดให้นอนที่เตียงใกล้ประตูทางเข้า ดังนั้น แพทย์ทุกคนเวลาเข้าห้องผู้ป่วยก็จะตรวจอาการของเธอก่อน แล้วจึงเดินไปตรวจคนอื่นๆ เมื่อผู้หญิง 11 คน ต้องเสียชีวิต Semmelweis จึงตระหนักว่าสารพิษอาจถูกนำออกจากร่างกายสตรีที่เป็นมะเร็งคนนั้น และนั่นหมายความว่า สารพิษสามารถถ่ายทอดออกจากสิ่งที่มีชีวิต (คน) ได้เช่นเดียวกับจากสิ่งไม่มีชีวิต (ศพ) ดังนั้นเพื่อป้องกันภัยนี้ Semmelweis จึงตั้งกฏบังคับใหม่ให้แพทย์ทุกคนล้างมือด้วยน้ำคลอรีน ระหว่างการตรวจร่างกายผู้ป่วยแต่ละคนด้วย

หลังจากที่ได้ออกกฎนี้ สถิติการเสียชีวิตของคนไข้ในโรงพยาบาล Vienna ได้ลดลงๆ จาก 18.3% เป็น 1.2%
ทั้งๆ ที่มีสถิติยืนยัน แต่แพทย์ส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อเหตุผลของ Semmelweis และได้เยาะเย้ยที่ Semmelweis เน้นเรื่องความสะอาด เพราะแพทย์รู้ดีว่าไม่มีใครแต่งตัวสกปรก ดังนั้นจึงเห็นว่าไม่สมควรต้องล้างมือบ่อย นอกจากเหตุผลนี้แล้ว Semmelweis ก็ไม่มีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ใดๆ มาสนับสนุนหลักการของเขาเลย ด้วยเหตุนี้วงการแพทย์จึงต่อต้านวิธีที่ Semmelweis แนะนำให้ปฏิบัติ และหนึ่งในบรรดาคนที่ต่อต้านอย่างรุนแรง คือ Johann Klein ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของ Semmelweis โดยตรง Semmelweis จึงพบว่าตนมีโอกาสสูงที่จะถูกไล่ออกจากงาน

วันหนึ่งขณะมีการสาธิตการผ่าตัด มีนิสิตแพทย์คนหนึ่งมาสายและเดินเข้าห้องผ่าตัดโดยไม่ได้ล้างมือ เพราะคิดว่าเมื่อ Semmelweis ไม่อยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องล้างมือให้เสียเวลา

ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ สถิติการเสียชีวิตของคนไข้ได้เพิ่มสูงถึง 5.25%
Semmelweis จึงถามหานิสิตแพทย์คนนั้นจนรู้ชื่อ แล้วบอกให้มารายงานตัวพร้อมบริภาษอย่างรุนแรง นับตั้งแต่นั้น ไม่มีนิสิตแพทย์คนใดกล้าฝ่าฝืนกฎให้ล้างมือก่อนสัมผัสคนไข้อีกเลย

วิธีปฏิบัติของ Semmelweis ได้เริ่มแพร่กระจายจาก Vienna อย่างช้าๆ เพราะ Semmelweis ไม่ชอบเขียนบทความเผยแพร่การค้นพบของตน ด้วยเหตุผลว่าเป็นคนไม่ชอบเขียน และตั้งใจให้เพื่อนเป็นคนเผยแพร่ความคิดแทน แต่เพื่อนที่ไหว้วานก็ทำได้ไม่ดีและไม่ละเอียดเท่า Semmelweis

นอกจากจะไม่ชอบเขียนหนังสือแล้ว Semmelweis ยังไม่ชอบแสดงปาฐกถาเกี่ยวกับเรื่องที่ทำด้วย มีครั้งหนึ่งที่เขาได้รับเชิญให้ไปบรรยายที่ Vienna Medical School Society แต่ Semmelweis ได้ตอบปฏิเสธไปอย่างไม่ใยดี
อนุสาวรีย์ Ignaz Semmelweis ผู้บุกเบิกมาตรฐานความสะอาดการผ่าตัด ​หน้าSzent Rókus Hospital ใน Budapest (Cr.Stróbl Alajos )
ชีวิตทำงานของ Semmelweis เริ่มมีปัญหา เพราะผู้บังคับบัญชา Johann Klein ไม่เห็นด้วยกับการล้างมือเพื่อรักษาความสะอาด และต้องการให้ Semmelweis ลาออก แต่ Josef Skoda ได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวิธีปฏิบัติของ Semmelweis ก่อนจะไล่ออก ถ้าพบว่าไม่เหมาะสม แต่ Klein ปฏิเสธ โดยอ้างว่าหน้าที่ตรวจสอบเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของตน ไม่ใช่ของ Skoda ประจวบกับระยะเวลาที่จ้าง Semmelweis หมดอายุพอดี ดังนั้นเมื่อ Semmelweis ขอต่อสัญญาจ้าง Klein จึงไม่อนุญาต และได้รับการประท้วงอย่างรุนแรงจาก Semmelweis

ในเวลานั้นวงการแพทย์จึงมีความเห็นแตกแยกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่เห็นด้วยกับ Semmelweis และฝ่ายที่เห็นต่าง ในบรรดาคนที่ไม่เห็นด้วยมีแพทย์สองท่านซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังคือ Seanzoni แห่งมหาวิทยาลัย Prague ในเชคโกสโลวาเกียกับ Seyfert แห่งมหาวิทยาลัย Berlin ในเยอรมนี

การถูกโจมตีโดย “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ทั้งสองนี้ทำให้ Semmelweis รู้สึกท้อแท้มาก และตระหนักว่าการจะให้แพทย์เลิกเชื่อความคิดเดิมๆ นั้นยากมาก Semmelweis จึงตัดสินใจปล่อยวางให้ใครจะฆ่าใครโดยไม่ล้างมือตามสบาย

หลังจากนั้น Semmelweis ก็หันไปสอนองค์ความรู้ที่ตนพบและที่เชื่อแก่นิสิตที่จะเป็นแพทย์ในอนาคต และเขาได้ตั้งความหวังว่า คนเหล่านี้จะมีใจเปิดกว้างจนสามารถเห็นความจริงได้สักวันหนึ่ง

หลังจากที่ตกงาน Semmelweis ได้ไปสมัครเป็นอาจารย์แพทย์ในโรงพยาบาลหลายแห่ง แต่ไม่มีโรงพยาบาลใดตอบรับ จนถึงวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.1850 เขาก็ได้รับจดหมายตอบรับฉบับหนึ่งจากมหาวิทยาลัย Vienna ให้ Semmelweis เป็นอาจารย์สอนวิชาสูตินารีเวชศาสตร์ภาคทฤษฎีแก่นางผดุงครรภ์ แต่ให้ใช้หุ่นสอนแทนคนจริง ดังนั้นการสาธิตสดจึงทำไม่ได้
Semmelweis รู้สึกโกรธมาก จึงฉีกจดหมายฉบับนั้น แล้วตัดสินใจเดินทางจาก Vienna ไป Budapest ในฮังการี โดยไม่ร่ำลาใคร

ในช่วงเวลานั้นบรรยากาศในกรุง Budapest กำลังซบเซา เพราะการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ในประเทศเพิ่งสิ้นสุด และกองทัพฮังการีกำลังสู้รบกับกองทัพราชวงศ์ Hapsburg แห่งออสเตรีย เมื่อประจักษ์ว่าทหารฮังการีกำลังจะแพ้สงคราม ผู้นำรัฐบาลจึงหลบหนีไปตุรกี Semmelweis เองก็เพิ่งเดินทางมาจาก Vienna ดังนั้นจึงไม่เป็นที่ต้อนรับในกรุง Budapest

ท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังปั่นป่วนอลวน มหาวิทยาลัยทุกแห่งในฮังการีต้องปิดการสอน เพราะครึ่งหนึ่งของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต้องติดคุก ดังนั้นบรรยากาศวิชาการในมหาวิทยาลัยจึงแทบไม่มี กระนั้นสมาคมแพทย์ก็ได้พยายามจัดประชุม แต่ทุกครั้งก็จะมีตำรวจลับมานั่งฟังด้วย ถ้าผู้บรรยายคนใดกล่าวปราศรัยต่อต้านรัฐบาลเขาก็จะถูกจับกุมทันที

เมื่อ Semmelweis เดินทางถึง Budapest เขาพบว่า ทั้งบิดาและมารดาได้เสียชีวิตแล้ว จึงรู้สึกเหงามาก เพราะขาดทั้งเพื่อนเก่า และไม่มีเพื่อนใหม่

ขณะนั้นที่โรงพยาบาล St. Rochus ใน Budapest กำลังมีเหตุการณ์การเสียชีวิตเป็นจำนวนมากของสตรีหลังคลอด โดยไม่มีแพทย์คนใดรู้สาเหตุ Semmelweis จึงสมัครทำงานที่นั่นโดยปวารณาไม่รับเงินเดือน และได้เริ่มทำงานเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ.1851 จนกระทั่งปี 1855 กฎการทำความสะอาดมือด้วยน้ำคลอรีนของ Semmelweis ได้ทำให้สถิติการเสียชีวิตของสตรีหลังคลอดลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากจำนวน 933 คนมีคนเสียชีวิตเพียง 8 คน ภายในเวลา 6 ปี จึงคิดเป็นเพียง 0.85% เท่านั้นเอง

เมื่อผลงานปรากฏเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ คนที่อิจฉา Semmelweis ก็ยิ่งมีมาก แม้แต่ผู้อำนวยการโรงพยาบาล St. Rochus ก็ไม่เว้นในการวางตัวเป็นฝ่ายตรงข้าม

วันหนึ่ง Semmelweis ได้พบว่าสถิติการตายของคนไข้ที่นั่น ได้เพิ่มมากอย่างผิดสังเกต จึงต้องการหาสาเหตุ และพบว่า หัวหน้าพนักงานทำความสะอาดผ้าปูที่นอนได้ตัดงบประมาณการซักรีดในโรงพยาบาล ทำให้คนไข้ใหม่ต้องใช้ผ้าปูที่นอนของคนไข้เก่า ซึ่งบางครั้งก็เปื้อนเลือดและเต็มไปด้วยคราบสกปรก Semmelweis รู้สึกโกรธมาก จึงนำผ้าปูที่นอนที่เปื้อนผืนนั้นไปให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลดู แล้วเรียกร้องไม่ให้ตัดงบประมาณเรื่องนี้

Semmelweis ได้รับผ้าปูที่นอนใหม่ทันที และได้งบประมาณทำความสะอาดเท่าเดิม แต่ได้ผู้อำนวยการเป็นศัตรูในเวลาเดียวกัน

ลุถึงปี 1856 Semmelweis ก็ตระหนักว่า ถ้าไม่เผยแพร่วิธีปฏิบัติที่ตนพบให้โลกรู้ แพทย์ในโรงพยาบาลอื่นๆ อาจฆ่าคนโดยไม่รู้ตัวก็ได้ Semmelweis จึงคิดว่าถึงเวลาที่ต้องเขียนรายงานเกี่ยวกับองค์ความรู้ที่พบ ณ โรงพยาบาล Vienna และ Budapest และได้ส่งบทความไปลงตีพิมพ์ เมื่อวารสารที่ลงบทความนั้นตกถึงมือ Semmelweis เขาก็พบว่าบรรณาธิการได้เขียนข้อความเพิ่มเติมที่ตอนท้ายของบทความว่า นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ Semmelweis และทางกองบรรณาธิการมิได้เห็นด้วยแต่ประการใด

ในปี 1857 Semmelweis ได้เข้าพิธีสมรสกับ Maria Weidenhoffer บุตรสาวของนักธุรกิจฐานะดี และมีอายุน้อยกว่าเขา 19 ปี ครอบครัว

Semmelweis มีลูก 5 คน และ 2 คนได้เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย คนที่ 3 ฆ่าตัวตาย คนที่ 4 เป็นโสด ส่วนคนที่ 5 มีครอบครัว

ในปี 1858 ตำราของ Semmelweis ชื่อ “The Etiology of Childbed Fever” (สมุฎฐานของโรคสตรีระยะหลังคลอดบุตร) ถูกตีพิมพ์ นี่เป็นตำราหนาทั้งๆ ที่ Semmelweis ไม่ชอบเขียนหนังสือ ณ วันนี้ หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญระดับเดียวกับตำรา “On the Motion of the Heart” ของ William Harvey ทั้งๆ ที่ในเวลานั้นแทบไม่มีแพทย์คนใดสนใจสิ่งที่ Semmelweis พบ เพราะคิดว่า วิธีการของ Semmelweis ที่ขอร้องให้แพทย์ใช้น้ำปนคลอรีนล้างมือก่อนลงมือผ่าตัด แล้วคนไข้จะไม่ตายนั้น “ง่าย” เกินไป

ในเวลาต่อมา Semmelweis รู้สึกเดือดดาลมากเมื่อพบว่า หนังสือของเขาขายได้ไม่ดี จึงเขียนจดหมายไปโจมตีบรรดาสูตินารีแพทย์ที่มีชื่อเสียง และกล่าวหาแพทย์เหล่านั้นว่าเป็นฆาตกรเลือดเย็นที่ไม่เคยรับผิดชอบต่อชีวิตคนไข้เลย

ความก้าวร้าวของ Semmelweis ทำให้ภรรยาวิตกว่า สามีคงเสียสติไปแล้ว เพราะเวลา Semmelweis เครียด เขาจะมีอาการซึมเศร้า ตาเหม่อลอย ใบหน้าซีดเซียว จนดูแก่กว่าวัยจริง นอกจากนี้ก็ยังชอบดื่มสุรา เที่ยวโสเภณี และเวลาสนทนากับใครก็จะวกเข้าเรื่องโรคของสตรีหลังคลอดบุตรทุกครั้งไป อาการ Alzheimer ได้ทำให้สมองของ Semmelweis เสื่อม และร่างกายอ่อนแอมาก เพราะเป็นโรคซิฟิลิสด้วย

เมื่อพฤติกรรมที่แสดงออกของ Semmelweis ในเวลาต่อมาไม่เหมาะสม เช่น เปลื้องผ้ากลางที่สาธารณะ ในปี 1865 Semmelweis จึงถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลโรคจิตแห่ง Vienna และถูกนำไปขังในห้องมืด เวลาคลุ้มคลั่งจะถูกสาดด้วยน้ำเย็น และน้ำร้อนสลับกัน Semmelweis ได้พยายามหนีออกจากโรงพยาบาล แต่ถูกจับได้ จึงถูกโบยตีจนบาดเจ็บสาหัส เนื้อตัวมีรอยแผลมากมายและล้มป่วยเป็นบาดทะยัก ในที่สุดก็เสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ.1865 สิริอายุ 47 ปี
อีก 2 วันต่อมา ศพของเขาถูกนำไปฝังที่โบสถ์ใน Vienna มีคนมาร่วมงานในพิธีศพเพียง 3 คน ข่าวการเสียชีวิตของ Semmelweis ได้รับการบันทึกเพียงสั้นๆ ในหนังสือพิมพ์ที่ Vienna และ Budapest

ในปี 1891 ศพของเขาถูกนำกลับไปฝังที่ Budapest และถูกย้ายไปฝังที่บ้านเกิดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ.1964

ปัจจุบันบ้านเกิดของ Semmelweis เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานให้รู้ว่า Semmelweis เป็นแพทย์ผู้บุกเบิกมาตรฐานการทำความสะอาดในการผ่าตัด และมาตรฐานนี้ได้รับการยืนยัน โดยทฤษฎีเชื้อโรค (germ) ของ Louis Pasteur ในเวลาต่อมา

ณ วันนี้ที่กรุง Budapest ฮังการีมีมหาวิทยาลัย Semmelweis ที่ Vienna มี Semmelweis Klinik สำหรับสตรีโดยเฉพาะ ส่วนที่เมือง Miskole ในฮังการีก็มี Semmelweis Hospital

ในปี 2008 รัฐบาลออสเตรียได้ออกเหรียญที่ระลึกที่มีภาพสลักนูนของ Semmelweis

อ่านเพิ่มเติมจาก “A Scientific Biography of Ignaz Semmelweis โดย K. Codell Cartar และ Barbara R. Carter จัดพิมพ์โดย Transaction Publishers ปี 2005

เกี่ยวกับผู้เขียน

สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์










กำลังโหลดความคิดเห็น