ก.วิทย์-สถาบันดาราศาสตร์ร่วมแถลง ยันโลกมืด 6 วัน ไม่จริง หลังกระแสโซเชียลมีเดียกระหน่ำแชร์ไม่หยุด พร้อมแจงข้อเท็จจริงพายุสุริยะไม่ก่อให้เกิดฝุ่น และขยะอวกาศไม่สามารถบดบังโลก วอนประชาชนบริโภคข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย โดย ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) ร่วมกันแถลงข่าว ชี้แจงกรณี มีการเผยแพร่ข้อมูลบนโลกออนไลน์ โดยอ้างว่า องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ระบุโลกจะมืดไป 6 วันในเดือน ธ.ค.นี้ และมีการแชร์ต่อ ๆ กันทางโซเชียลมีเดียตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา
ดร.พิเชฐ กล่าวว่า ปัจจุบันโซเชียลมีเดีย กลายเป็นสื่ออันทรงพลังที่ตอบสนองทุกความต้องการอย่างทันต่อเวลาและสื่อสารได้ทุกมิติ สามารถชี้นำให้เป็นไปในทางใดทางหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ข่าวลือเรื่องโลกจะมืด 6 วันนี้ โดยส่วนตัวก็ได้ยินมาระยะหนึ่งแล้ว และยังคงมีการแชร์ต่อกันอยู่ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ทั้งภาพและรายละเอียดประกอบ ตลอดจนอ้างถึงนาซานั้นทำให้ดูน่าเชื่อถือ ทำให้มีหลายคนที่ยังเคลือบแคลง โดยมีการโทรศัพท์มาสอบถามมาอย่างต่อเนื่อง
“กระทรวงวิทยาศาสตร์มีหน้าที่ให้ข้อเท็จจริงด้วยเหตุและผลเชิงวิทยาศาสตร์ จึงขอให้รายละเอียดที่เป็นจริง เพื่อยุติข่าวลือดังกล่าว โดย สดร.ซึ่งเกาะติดสถานการณ์ปรากฎการณ์ทางด้านดาราศาสตร์และภาคพื้นเอกภพ ได้ตรวจสอบข่าวดังกล่าวอย่างรอบด้านแล้วว่าเป็นข่าวที่มาจากเว็บลวงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จึงขอให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ ศึกษาข้อมูลและความเป็นไปได้ด้วยเหตุและผล ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิง และควรระมัดระวังในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้วย” รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์กล่าว
ด้าน ดร.ศรัณย์ เปิดเผยว่า เรื่องนี้เผยแพร่มาจาก huzlers ซึ่งอ้างตัวเป็นสำนักข่าว แต่แท้จริงแล้ว huzlers ไม่ใช่สำนักข่าวจริงๆ แต่เป็นสำนักข่าวที่เขียนข่าวขำขัน เขียนเรื่องสร้างความตื่นตระหนก ให้คนตกใจเล่นๆ แม้กระทั่งตัวเพจเองก็เขียนเอา ไว้ด้านล่างว่า "Huzlers.com is a combination of real shocking news and satirical entertainment to keep its visitors in a state of disbelief." ซึ่งแปลความว่า "เว็บไซต์ Huzlers.com เป็นเว็บที่ผสมระหว่างข่าวจริงและเสียดสีที่น่าตื่นเต้นเพื่อสร้างความบันเทิงและน่าทึ่งให้กับผู้ชม" โดยข่าวลวงโลกดังกล่าว ระบุว่า วันที่ 16-22 ธันวาคม โลกจะตกอยู่ในความมืดสนิท เพราะพายุสุริยะจะทำให้เกิดฝุ่นและขยะอวกาศมาบดบังจนโลกอยู่ในความมืดสนิท
ดร.ศรัณย์ กล่าวว่า กรณีที่ว่าพายุสุริยะจะทำให้เกิดฝุ่นละอองนั้น ก็ไม่เป็นความจริง อีกทั้งไม่สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวด้วย อย่างมากที่สุดพายุสุริยะสามารถทำให้ดาวเทียมใช้งานไม่ได้ และเราก็อาจจะเห็นแสงออโรราสวยๆ ในประเทศแถบขั้วโลกเท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าฝุ่นและขยะอวกาศจะมาบดบังโลกให้อยู่ในความมืดสนิท ก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นกัน เพราะการที่ขยะอวกาศจะสามารถบดบังโลกให้อยู่ในความมืดสนิทได้นั้น เราจะต้องมีขยะอวกาศมากกว่าดาวเทียมที่มีอยู่ทั้งหมดนี้หลายเท่า
“ถ้าเป็นเช่นนั้นดาวเทียมเราทุกดวงคงร่วงไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตามฝุ่นสามารถบดบังแสงอาทิตย์ได้ก็จริง แต่สามารถเกิดขึ้นได้เฉพาะในชั้นบรรยากาศ เช่น กรณีที่ภูเขาไฟลูกใหญ่ หรืออุกกาบาตขนาดมหึมา ทำให้ฝุ่นกระจายไปในชั้นบรรยากาศ ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์สูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ แต่แม้กระนั้นก็ไม่ได้อยู่ในความมืดสนิทอย่างที่กล่าวอ้างในข่าวแต่อย่างใด” ดร.ศรัณย์ระบุ
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า รองผู้อำนวยการ สดร.ระบุว่า สำนักข่าวในต่างประเทศอย่างบีบีซีและซีเอ็นเอ็นก็ลงข่าวการแชร์ข้อมูลที่ผิดพลาดนี้เช่นกัน แม้ทาง สดร.ก็ได้แถลงข่าวและทำความเข้าใจแก่ประชาชนไปครั้ง แต่ยังพบคนที่เชื่อและนำมาแชร์ต่ออีก โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ใกล้ถึงช่วงข่าวลวงระบุว่าโลกจะตกอยู่ในความมืดสนิทจากพายุสุริยะ ซึ่งตามข้อเท็จจริงเราเรียกการปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์ที่ความเร็ว ณ จุดๆ หนึ่งว่า "ลมสุริยะ" โดยเกิดขึ้นได้เพราะดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วที่ไม่เท่ากัน เมื่อละติจูดต่างกันทำให้เกิดการผันผวน เกิดเป็น "การลุกจ้า" (Flare) แต่จะไม่ทำให้เกิดพายุสุริยะ
“ฉะนั้นจึงยืนยันได้ว่าการจะเกิดฝุ่นละอองจำนวนมากที่มีสาเหตุจากพายุสุริยะจึง "ไม่เป็นความจริง" อย่างแน่นนอน แต่พายุสุริยะที่มีความรุนแรงมากๆ ก็อาจส่งผลกระทบกับโลกได้เช่นเดียวกัน คือ จะทำให้เกิดแสงออโรรา หรือแสงเหนือแสงใต้บริเวณขั้วโลก เพราะบริเวณนั้นเป็นขั้วสนามแม่เหล็กโลก มนุษย์โลกที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นศูนย์สูตรโดยเฉพาะคนไทย จึงสามารถสบายใจได้ว่าพายุสุริยะจะไม่สามารถทำอะไรเราได้อย่างแน่นอน” ดร.ศรัณย์ระบุ
อย่างไรก็ดี ดร.ศรัณย์ระบุว่า พายุสุริยะเคยส่งผลกระทบต่อระบบโทรคมนาคม เนื่องจากพายุสุริยะคืออนุภาคมีประจุที่รบกวนสัญญาณกการรับส่งคลื่นต่างๆ ในชั้นบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ และยังเคยทำให้เกิดเหตุการณ์ไฟดับหลายเมืองที่ประเทศแคนาดา เมื่อปี 2523 เพราะอนุภาคที่รบกวนส่งผลต่อการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้า ทำให้ระบบตัดไฟฟ้าขัดข้อง แต่ในภายหลังมีการออกแบบอุปกรณ์ให้ป้องกันการเหนี่ยวนำไฟฟ้าจากอนุภาคเหล่านี้ได้ นอกจากนี้พายุสุริยะยังทำให้เกิดความเสียหายต่อดาวเทียมได้ แต่ก็ยังไม่เคยพบกรณีที่ดาวเทียมได้รับความเสียหายจากพายุสุริยะมาก่อน
"สิ่งที่ทำให้โลกมืดได้ตอนนี้มีอยู่เพียงสิ่งเดียวคือ สุริยุปราคา ที่ทำให้โลกมืดได้เพียงครู่เดียวจากการพาดผ่านของเงาดวงจันทร์ สุริยปราคาที่จะเกิดขึ้นในครั้งหน้าตรงกับวันที่ 20 มี.ค. ซึ่งไม่พาดผ่านประเทศไทยด้วย เพราะฉะนั้นหยุดเชื่อเถอะครับ หยุดแชร์ แล้วหันมาสนใจหลักวิทยาศาสตร์จะดีกว่า การที่โลกจะมืดเพราะฝุ่นละออง เกือบเป็นไปได้ครับถ้าหากเกิดการระเบิดของภูเขาไฟใหญ่ๆ ที่พ่นละอองเถ้าถ่านออกมา แต่ก็ทำได้แค่สลัวๆ เพราะฝุ่นบดบังแสงดวงอาทิตย์" ดร.ศรัณย์เน้น
พร้อมกันนี้ รอง ผอ.สดร.ยังเตือนสติด้วยว่า ปัจจุบันข้อมูลข่าวสารถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และที่กำลังเป็นที่นิยมมากในเมืองไทยคือ “ไลน์” ซึ่งประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และสามารถส่งต่อออกไปอย่างรวดเร็ว ข่าวสารที่แพร่สะพัดในสื่อสังคมออนไลน์เป็นข่าวสาธารณะที่พร้อมจะถูกส่งต่อออกไปเพียงปลายนิ้วสัมผัส บางครั้งอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริง หรือมาจากแหล่งข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือ การใช้สื่อสังคมออนไลน์จึงเปรียบเสมือนดาบสองคมที่ควรนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง จึงขอให้ประชาชนรับข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาน" ดร.ศรัณย์ กล่าว
ส่วน ดร.อานนท์ กล่าวถึงกรณีหลายฝ่ายกังวลพายุสุริยะจะส่งผลกระทบต่อดาวเทียมว่า พายุสุริยะอาจส่งผลต่อดาวเทียมที่โคจรในอวกาศได้มากกว่าพื้นผิวโลก โดยดาวเทียมที่อยู่ในการดูแลของกระทรวงวิทยาศาสตร์ คือดาวเทียมไทยโชตนั้นถูกออกแบบให้ป้องกันผลจากรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าได้ในระดับหนึ่ง และ สทอภ.เองก็มีมาตรการป้องกันและแก้ไขกรณีดาวเทียมถูกรบกวนเพื่อให้สามารถกลับมาปฏิบัติภารกิจได้อย่างต่อเนื่อง
“ตั้งแต่ดาวเทียมไทยโชตถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรในปี 2551 ก็ได้ผ่านเหตุการณ์พายุสุริยะที่มีความรุนแรงสูงมาแล้วหลายครั้ง เช่น การเกิดการลุกจ้าที่มีความรุนแรงสูงมากในระดับ X4.9 ในวันที่ 24 ก.พ.57 และในระดับ X3.1 แต่อย่างไรก็ตามยังไม่พบความผิดปกติในส่วนของดาวเทียมไทยโชต ที่เกิดจากพายุสุริยะเหล่านี้ ซึ่งทาง สทอภ.ได้มีการประสานงานและรับข้อมูลต่างๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด” ดร.อานนท์กล่าว
"จากข้อสรุปทั้งหมดสามารถยืนยันให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนได้แล้วว่า ข่าวลือที่ระบุว่าโลกจะมืด 6 วันเพราะฝุ่นจากพายุสุริยะ ไม่เป็นความจริง หลังจากนี้เป็นต้นไปขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับฟังข่าวสาร และใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาประกอบการคิดตัดสินใจ เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวที่วิทยาศาสตร์สามารถตอบคำถามได้ทั้งหมด เพราะวิทยาศาสตร์เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ประเทศของเราก้าวหน้าได้ การส่งเสริมให้เด็กเรียนวิทยาศาสตร์จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ปกครองควรให้การสนับสนุนเพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งเหตุและผล ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แบบที่เห็นกันในอดีต" ดร.พิเชษฐกล่าว
*******************************