นวนิยายเรื่อง The Brothers Karamazov ของ Dostoyevsky มีการกล่าวถึง ชายยิวคนหนึ่งที่ฆ่าเด็กชายชาวรัสเซียอายุ 4 ขวบ ด้วยการตัดนิ้วมือ แล้วนำศพไปตรึงที่กำแพงเพื่อประจาน
ตามปกติ Dostoyevsky มักเขียนนวนิยายเกี่ยวกับยิวในทำนองว่าเป็นมนุษย์ประเภทที่ชอบกระทำทารุณกรรมกับคนชาติอื่น เป็นคนไม่ซื่อสัตย์ มีนิสัยเลว ชอบแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว อีกทั้งเป็นคนเจ้าเล่ห์ ตระหนี่ และชอบฆ่าเด็กเล่นในวัน Easter
การกล่าวหาใส่ไคล้ทั้งทางตรงและทางอ้อมทุกรูปแบบอย่างตลอดเวลาแสดงให้เห็นว่า Dostoyevsky มีทัศนคติที่เป็นลบระดับสุดๆ ต่อคนยิว และการต่อต้านยิวที่แพร่หลายนี้เองที่ชักนำให้องค์จักรพรรดิ Tsar แห่งรัสเซียกับสถาบันศาสนาออกกฎหมายห้ามคนยิวเข้าอาศัยในพื้นที่บางส่วนของรัสเซีย จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เมื่อรัสเซียบุกเข้ายึดครองโปแลนด์ ทำให้ได้ปกครองคนยิวเพิ่มอีกประมาณ 1 ล้านคน การกดขี่นี้ได้ทำให้คนยิวต้องตรอมใจยอมรับการปกครองของรัสเซียอย่างอดทน และอดกลั้น เพราะจักรพรรดิ Tsar ทรงออกกฎหมายควบคุมบังคับ และกำกับการทำกิจกรรมทุกอย่างของคนยิว เช่น ทรงกำหนดให้หนังสือภาษายิวเป็นหนังสือต้องห้าม และบังคับให้ยิวทุกคนต้องนับถือคริสต์ศาสนา เป็นต้น
ส่วนประชาชนทั่วไปในยุคนั้นก็พากันออกมาต่อต้านยิวด้วยการบุกปล้นร้านค้าชาวยิว และฆ่ายิว ฯลฯ และในเวลาเดียวกัน นักประพันธ์เช่น Dostoyevsky ก็กระพือความรู้สึกต่อต้านยิวด้วยการเขียนนวนิยายที่ส่งเสริมให้กำจัดยิวหลายรูปแบบ เพื่อให้คนรัสเซียทั่วไปเชื่อว่า อะไรก็ตามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อยิวเป็นเรื่องประเสริฐ
เมื่อนวนิยาย The Brothers Karamazov ออกปรากฏในบรรณโลกในปี 1879 นั้น Marc Chagall ยังไม่เกิด จนอีก 8 ปีต่อมา เขาเกิดในครอบครัวที่มีเชื้อชาติยิว บิดาเป็นพ่อค้าปลาที่มีลูก 9 คน สำหรับเมือง Vitebsk ที่ Chagall เกิดนั้นเป็นเมืองเล็กๆ ที่ปล่อยให้ชาวยิวมีเสรีภาพค่อนข้างมาก ถึงกระนั้นยิวคนใดก็ตามที่ต้องการจะเดินทางไปเยือนเมือง St.Petersburg ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัสเซียในเวลานั้น จะต้องขออนุญาตจากทางการเป็นกรณีพิเศษ และคนยิวที่จะได้รับใบอนุญาตต้องมีหลักฐานที่แสดงว่าตนทำงานเป็นลูกจ้าง คนใช้ ของคนในเมือง หรืออาจเป็นนิสิตหรือจิตรกร
ในเมื่อ Chagall มีคุณสมบัติข้อหนึ่ง (คือเป็นจิตรกร) ซึ่งตรงตามที่กฎหมายกำหนด เขาจึงได้รับอนุญาตให้เข้าเมือง แต่ก็ต้องไปพักอาศัยอยู่ในที่พักคับแคบร่วมกับเพื่อนๆ ชาวยิวที่ยากจนอื่นๆ ในฐานะที่เป็นชนชั้นสองของประเทศ จากนั้นได้สมัครทำงานเป็นลูกจ้างของเศรษฐียิวชื่อ Vinaver
สำหรับชาวยิวคนที่มีฐานะดี ซึ่งอาจจะเป็นแพทย์หรือนายธนาคารก็มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในเมืองหลวงได้ และคนยิวที่โชคดีเหล่านี้จึงได้พยายามสนับสนุนและอุปถัมภ์คนยิวคนอื่นๆ ที่ยากจน โดยให้ที่พักอาศัยชั่วคราว หรือมอบเงินให้จิตรกรยิวหนุ่มๆ สามารถเดินทางไปฝึกเรียนวิชาศิลปะที่ต่างประเทศ เช่น ปารีสได้
ถึงปี 1920 Chagall วัย 33 ปีได้รับการสนับสนุนโดย Vinaver ให้เดินทางไปปารีส ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของโลกศิลปะในสมัยนั้น เป็นการเจริญรอยตามศิลปินยิวคนอื่นๆ เช่น นักเขียนชื่อ Ilya Ehrenburg ปฏิมากรชื่อ Jacques Lipchitz และจิตรกรชื่อ Chaem Soutine กับ Issai Kulviansky เป็นต้น แต่บุคคลดังกล่าวนี้ไม่มีใครมีชื่อเสียงโด่งดังเท่า Chagall เพราะ Chagall เป็นศิลปินระดับโลกผู้มีจิตวิญญาณของรัสเซียเต็มตัว และชอบวาดภาพวิถีชีวิตของชาวรัสเซียเชื้อสายยิว โดยเฉพาะที่ Vitebsk ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ Chagall เกิด
ภาพของ Chagall มักเกี่ยวข้องกับนักบวชยิว ขนบธรรมเนียมยิว และความรู้สึกนึกคิดของยิวที่เคร่งศาสนา หรือภาพความรักระหว่างคู่ชีวิต และความรักบ้านเกิดเมืองนอน เป็นต้น โดยได้พยายามผสมผสานความทรงจำเกี่ยวกับอดีตของเขากับเหตุการณ์ปัจจุบัน และเมื่อความฝันกับความจริงของ Chagall ปะทะกันทำให้เกิดภาพศิลปะในรูปแบบใหม่ ซึ่งทำให้จิตใจคนดูได้ล่องลอยไปกับจินตนาการของคนวาด เช่น บ้านที่ Chagall วาดเป็นบ้านคว่ำให้หลังคาอยู่ข้างล่าง และตัวบ้านมีโครงสร้างที่บอบบางเสมือนทำด้วยกระดาษ แทนที่จะทำด้วยไม้หรือคอนกรีต นอกจากนี้ Chagall ยังชอบวาดภาพผู้คนเหาะลอยตัวไปในอากาศเสมือนว่าเป็นสิ่งไร้น้ำหนัก
โลกศิลปะของ Chagall จึงแตกต่างจากโลกศิลปะของจิตรกรคนอื่นๆ มาก และ Chagall ก็ไม่คิดว่า เขาจำเป็นต้องอธิบายความหมายของภาพที่เขาวาด เพราะในมุมมองของ Chagall นั้น ภาพมิใช่วรรณกรรมที่จะต้องแปลความหมาย ภาพเป็นเพียงการจัดวางสิ่งต่างๆ ให้อยู่ด้วยกันในแบบ sur-natural คือ เหนือธรรมชาติ เช่น ภาพนักดนตรีกำลังยืนสีไวโอลินอยู่บนหลังคาบ้านสีแดง วัวที่มีตาสีฟ้าสดใส ไก่ตัวสีแดงยืนเกาะคอนอยู่บนรั้วบ้าน และบ้านที่ทาหลากสีทำให้ดูคล้ายบ้านตุ๊กตา ภาพที่ Chagall วาดจึงดูเหมือนภาพประกอบในเทพนิยาย ที่ทำให้คนดูภาพไร้สติสัมปชัญญะไปชั่วเวลาหนึ่ง เวลาเห็นคนลอยในอากาศ และวัวเหาะได้เหมือนไร้แรงโน้มถ่วงกระทำ กระนั้น Chagall ก็สามารถจัดให้ทั้งคนและสัตว์อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
สำหรับในชีวิตจริง Chagall มีคนรักหลายคน แต่ Bella Rosenfeld เป็นสตรีที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เขาได้มากที่สุด เมื่อเขากับเธอได้พบกันเป็นครั้งแรกบนสะพานในเมือง Vitebsk เขาบอกว่าเขาตกหลุมรักเธอทันที ขณะนั้น Bella กำลังเรียนการแสดงละคร จากนั้นเธอได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ Moscow ส่วนเขาเดินทางไปปารีส
การอยู่แยกกันประมาณ 2 ปี ทำให้คนทั้งสองต้องติดต่อกันทางจดหมาย เมื่อ Chagall เดินทางกลับถึงรัสเซีย ทั้งสองได้เข้าพิธีสมรสกันเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ.1915 ขณะนั้น Chagall มีอายุ 28 ปี และก่อนวันแต่งงานไม่นาน Chagall ได้วาดภาพ Birthday เป็นที่ระลึกของวันสำคัญของเขาทั้งสอง และขณะนี้ภาพขนาด 81x100 เซนติเมตรอยู่ที่ Museum of Modern Art ใน New York
ในภาพเราจะเห็น Bella เดินเข้ามาในห้อง และ Chagall ลอยขึ้นไปในอากาศ พร้อมกันนั้นเขาก็หันศีรษะมาจุมพิตเธอ ภาพริมฝีปากของคนทั้งสองขณะสัมผัสกันแสดงความรักที่มีต่อกัน ซึ่งอ่อนโยน และอ่อนหวาน เป็นสุข และเป็นความรู้สึกของหนุ่มสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงรักจริงๆ บนผนังห้องที่คนทั้งสองพบกัน เราจะเห็นโบสถ์ที่อยู่ไกล บนโต๊ะรับแขกในห้องมีดอกไม้และเค้กที่ Bella นำมาเพื่อฉลองวันแห่งความสุข
แม้ Chagall จะมีความรู้เกี่ยวกับภาพแนว Cubism บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ภาพ Birthday เป็นภาพในแนวเหนือจริง (Surrealism) ภาพจึงมีลักษณะเหมือนคนวาดกำลังตกอยู่ในความฝันของโลกส่วนตัวของหนุ่มและสาวที่รักกัน ซึ่งได้จูบกันอย่างนุ่มนวล ภาพนี้ทำให้เราเห็นว่า ความรักของคนทั้งสองนั้นยิ่งใหญ่จนห้องที่คนทั้งสองอยู่คับแคบไปถนัดตา และภาพได้แสดงเสี้ยวเวลาหนึ่งที่สำคัญของชีวิตของคนทั้งสอง
ขณะพำนักอยู่ที่ปารีสเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ด้านศิลปะ Chagall ได้ตั้งใจจะเดินทางกลับรัสเซียเพื่อจัดตั้งโรงเรียนสอนศิลปะที่ทันสมัย แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะได้เกิดการปฏิวัติในรัสเซียก่อน ทำให้ศิลปินจากต่างชาติเช่นยิว ถูกสกัดกั้นไม่ให้กลับบ้านเกิด
Chagall กับ Bella และลูก 2 คนจึงแปลงสัญชาติเป็นพลเมืองฝรั่งเศส และในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 Chagall ได้เดินทางไปทำงานที่ America เขาจึงต้องวาดภาพเมือง Vitebsk จากความทรงจำ เพราะตัวเขาและครอบครัวได้อพยพออกจากรัสเซียมานานแล้ว ด้วยคำแนะนำที่ดีจากภรรยา ซึ่ง Chagall ถือว่าเธอเป็นผู้ที่ชี้นำเส้นทางชีวิตของเขา ไปสู่ดินแดนที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนบ่อย
ในฐานะที่เป็นภรรยา Bella ต้องทำหน้าที่เป็นทั้งแม่ของลูก และเป็นผู้จัดการธุรกิจศิลปะของ Chagall เธอได้ประกาศการเสียสละชีวิตการแสดงของเธอเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าในการทำงานของสามี และต้องเดินทางไปทำงานในสถานที่หลายแห่งเช่นที่ Berlin, New York, Palestine, Egypt, Holland, Spain, Greece, Italy ครั้นเมื่อ Bella เสียชีวิตในปี 1944 Chagall ได้วาดภาพ Lovers in the Red Sky ในปี 1950 ซึ่งแสดงคนทั้งสองกำลังลอยขึ้นฟ้าด้วยกัน หลังจากนั้นลูกสาวชื่อ Ida ของ Chagall ก็ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนมารดาอย่างสมภาคภูมิ
ในปี 1947 Chagall ได้รับเชิญให้ไปวาดภาพ 17 ภาพประดับผนัง Chapelle da Calraire ในเมืองเวนิส และได้รับเชิญจากรัฐบาลรัสเซียให้กลับไปเยือนบ้านเกิดเพื่อรับเหรียญ Lenin
ในปี 1959-66 Chagall ได้เขียนภาพประดับเพดานโรงละครโอเปราแห่งปารีส
Chagall ถึงแก่กรรมในฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ปี 1985 สิริอายุ 97 ปี
นักวิจารณ์ศิลปะมีความเห็นว่า Chagall คือจิตรกรยุคใหม่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยผลงานยิ่งใหญ่ที่สุดก่อนมีอายุครบ 35 ปี ซึ่งตัวอย่างของภาพที่มีชื่อเสียงคือ ภาพ I and the Village และภาพ White Crucifixion แต่หลังจากนั้นภาพของ Chagall ก็ดูละมุนละไมและอ่อนโยนขึ้น
ณ วันนี้ โลกศิลปะยอมรับว่า Chagall เป็นศิลปินคนหนึ่งที่วาดภาพซึ่งมีอิทธิพลต่ออารมณ์สร้างสรรค์ ต่อความรัก และต่อดนตรี ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่มีวัย คือเป็นอมตะ และภาพได้ให้ความอบอุ่นตลอดเวลา แม้ Chagall จะไม่เคยทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Picasso หรือ Modiglini แต่ Chagall ก็ไม่เคยเลียนแบบจิตรกรคนใด เพราะในมุมมองของ Chagall ศิลปะคือภาษาที่แสดงออกด้วยภาพ และภาพของ Chagall คือภาษาหนึ่งเดียวที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถรังสรรค์ได้ แม้แต่ Picasso ก็ยังเคยปรารภว่า Chagall เป็นจิตรกรที่มีนางฟ้าอยู่ในสมอง เพราะภาพของ Chagall จะไม่ทำให้คนดูปวดหัว เหมือนเวลาดูภาพ Cubism หรือภาพ Abstract
Chagall มักพูดว่า เขาจะไม่มีวันวาดภาพลูกแพร์สี่เหลี่ยมซึ่งวางบนโต๊ะรูปสามเหลี่ยม และภาพที่มีสีสันนี้ได้ทำให้ Chagall รู้สึกตื่นเต้น และเขามักบอกทุกคนเสมอว่า เขาคือคนที่นำวัตถุดิบมาจากรัสเซีย แล้วปารีสได้ใส่สีให้วัตถุเหล่านั้น
ภาพของ Chagall นับว่าไม่เหมือนภาพของใคร เขาได้ทำให้โลกตะวันตกรู้จักชีวิตยิวดีขึ้น โดยอาศัยความทรงจำที่มี และความพยายามสื่อความหมายของคริสต์ศาสนาด้วยภาพในแนวที่ตนคิด เช่นในภาพ White Crucifixion, Chagall มีจุดมุ่งหมายจะแสดงออก ซึ่งความเจ็บปวดของชาวยิวที่ถูกนาซีกดขี่ เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติมจาก Chagall: A Biography โดย Jackie Wullschlager จัดพิมพ์โดย Knopf ปี 2008
เกี่ยวกับผู้เขียน
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์
*******************************
*******************************