xs
xsm
sm
md
lg

หญิงสาวกับตุ้มหูมุกของ Johannes Vermeer

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

Girl with a Pearl Earring
​ในภาพยนตร์เรื่อง Girl with a Pearl Earring ซึ่งนำแสดงโดย Scarlett Johansson, Colin Firth และ Tom Wilkinson มี Firth แสดงเป็นจิตรกร Johannes Vermeer ผู้ได้ขอร้องให้สาวใช้แสนสวย ซึ่งแสดงโดย Scarlett Johansson มานั่งโพสท่าให้วาดภาพเหมือน ในขณะที่ Tom Wilkinson แสดงเป็นผู้อุปถัมภ์ของ Vermeer ซึ่งมีความต้องการจะได้สาวใช้บุคลิกเงียบขรึมเป็นคู่ชีวิต เช่นเดียวกับ Vermeer

​ดังนั้น Vermeer จึงพยายามสอนเธอให้รู้จักวิธีผสมสี และแนะนำให้เธอรู้จักการนำแสงมาใช้ในการวาดภาพ แต่ความพยายามครอบครองเธอไม่ได้ผลใดๆ เพราะ Vermeer มีครอบครัวแล้ว ความอมทุกข์ตลอดเวลาของภรรยาบวกกับความเจ้ากี้เจ้าการของแม่ยายและความไม่สมหวังในตัวสาวใช้ทำให้ชีวิตของ Vermeer ไม่มีความสุขเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นวิถีชีวิตของชาวดัตซ์ เมื่อ 350 ปีก่อนว่า หดหู่ และเศร้าอย่างไร

​ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครในโลกรู้ว่า ผู้หญิงในภาพวาดนั้นคือใคร หล่อนอาจจะเป็นสาวใช้หรือนางแบบหรือเป็นหญิงสาวที่มีฐานันดรศักดิ์สูงก็ได้

​เมื่อโลกได้เห็นภาพวาดนี้เป็นครั้งแรกในปี 1882 นั้นภาพอยู่ในสภาพสกปรก การสืบค้นประวัติความเป็นมาของภาพทำให้รู้ว่า นักสะสมภาพชื่อ Arnoldus Andries des Tombes ได้ซื้อภาพขนาด 45x39 เซนติเมตรที่ Vermeer วาดนี้ในปี 1665 ในราคา 2.30 guilders (31 บาท) ซึ่งมากเท่าค่าจ้างในแต่ละวันของกรรมกรในสมัยนั้น

​อีก 20 ปีต่อมา des Tombes ได้ขายภาพที่ซื้อมาอย่างเสียไม่ได้นี้ให้แก่พิพิธภัณฑ์ Mauritshius แห่งกรุง Hague ในเนเธอร์แลนด์ ในราคา 4 หมื่น guilders (ประมาณ 9 แสนบาท)

​เมื่อถึงวันนี้ ภาพ “Girl” มีราคาประมาณค่ามิได้

​สิ่งที่น่าสนใจที่สุด นอกจากจะได้เห็นฝีมือระดับสุดยอดของจิตรกร Vermeer แล้วก็คือความลึกลับที่ไม่มีใครรู้ว่า สตรีในภาพเป็นใคร การไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอนับเป็นเสน่ห์ประการหนึ่งของภาพ เพราะทำให้คนดูมีจินตนาการ เพราะถ้ารู้ ความสนใจก็จะน้อยลง

​ภาพที่ทุกคนเห็นคือ เด็กผู้หญิงที่มีริมฝีปากแดง เต็มอิ่ม มีผ้าโพกศีรษะสองสีคือ สีฟ้า และสีเหลือง ตาของเธอเป็นประกาย เธอเหลียวหลังกลับมาดูคนดูเสมือนถูกเรียกชื่อ ขณะเธอกำลังจะเดินจากไป

​ไม่มีใครรู้ชัดว่า Vermeer ใช้ใครเป็นนางแบบ บางคนคิดว่า เธอเป็นหญิงในจินตนาการ นักเขียนที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับภาพนี้คิดว่า เธอเป็นสาวใช้ผู้ยากจนที่มานั่งโพสให้ Vermeer วาด และใส่ตุ้มหูมุกของนายสาว บางคนคิดว่า เธอเป็นลูกสาวของ Vermeer และบางคนคิดว่า เธอเป็นลูกสาวของผู้อุปถัมภ์ของ Vermeer
View of Delft
​J. Vermeer เกิดเมื่อปี ค.ศ.1632 (ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง) ที่เมือง Delft ซึ่งอยู่ห่างจาก The Hague ประมาณ 13 กิโลเมตรในประเทศเนเธอร์แลนด์ และเป็นลูกชายเจ้าของโรงแรม เมื่อเติบใหญ่ได้ดำรงชีพเป็นจิตรกรที่มิได้มีใครยกย่อง ขณะมีชีวิตอยู่แทบไม่มีคนรู้จัก แต่เมื่อถึงวันนี้ Vermeer ได้รับการยอมรับว่าเป็นจิตรกรระดับสุดยอดคนหนึ่งของโลก สำหรับสาเหตุสำคัญที่สังคมในสมัยนั้นไม่ชื่นชม คงเป็นเพราะ Vermeer มีผลงานวาดค่อนข้างน้อย (36 ภาพเท่านั้นเอง) และไม่ชอบเซ็นชื่อในภาพวาด ดังนั้น จึงมีคนคิดว่า ภาพวาดบางภาพของ Vermeer เป็นผลงานของจิตรกรคนอื่น

​โลกไม่มีประวัติส่วนตัวของ Vermeer มาก ทุกคนจึงรู้เพียงว่า Vermeer เป็นคนดื่มหนัก เคยเรียนศิลปะกับ Carel Fabritus และได้เข้าพิธีสมรสในปี 1653 เป็นคนรักภรรยาและเด็กมาก จึงมีลูกถึง 11 คน ทำให้ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวตลอดเวลา ด้วยการขายภาพส่วนใหญ่ให้กับผู้อุปถัมภ์ชื่อ Pieter van Ruijven แต่ในขณะเดียวกัน Vermeer ก็ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ทำให้เป็นหนี้มาก

แม้จะมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง Vermeer ก็ไม่เคยเดินทางไป The Hague เลย เพราะชอบใช้ชีวิตที่ Delft ซึ่งเป็นเมืองที่มีวิหารแบบ Gothic มีคลองแคบๆ ที่มีสะพานหินข้าม สำหรับบ้านที่ Vermeer ใช้ชีวิตนั้น เมื่อถึงวันนี้บ้านได้ถูกรื้อทิ้งไป หลังจากที่ Vermeer ตายในปี 1675 ในวัย 43 ปี และลูกๆ ยังไม่โต ก่อนตาย Vermeer ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ Guild of St. Luke แห่ง Delft

​ในปี 1696 ซึ่งเป็นเวลา 21 ปี หลังจากที่เสียชีวิต ภาพวาด 21 ภาพของ Vermeer ได้ถูกนำออกประมูลขายที่ Amsterdam และโลกก็ประจักษ์ว่า Vermeer วาดภาพเหมือนขนาดเล็กเพียงไม่กี่ชิ้น เพราะสตูดิโอของ Vermeer ไม่ใหญ่มาก และ Vermeer เริ่มต้นโดยการวาดภาพประวัติศาสตร์ก่อน แล้วจึงเปลี่ยนไปวาดภาพศาสนา จากนั้นก็หันมาวาดภาพเทพปกรณัมและภาพชีวิตทั่วไปของชาวบ้าน เช่น เวลาดื่มน้ำ กินอาหาร เขียนจดหมาย และเล่นดนตรี ทำให้ภาพที่ได้มีบรรยากาศอบอุ่น เพราะ Vermeer เป็นคนที่รู้จักประสานอิทธิพลของแสง และเงาได้อย่างกลมกลืน

​เวลาวาดภาพเหมือน Vermeer มักวาดเป็นผู้หญิงหน้าเดิม วาดพรมผืนเดิม โต๊ะตัวเดิม เก้าอี้ตัวเดิม และชอบให้แสงส่องเข้าภาพจากซ้ายไปขวา อีกทั้งวาดพื้นห้องที่ปูด้วยหินอ่อน การวาดกำแพงสีขาวทำให้ภาพคนที่อยู่เบื้องหน้ากำแพงดูสว่าง จนสามารถเห็นลวดลายบนเสื้อผ้าได้ชัดว่าคนในยุคนั้นนิยมแต่งตัวอย่างไร

การนิยมใช้สีที่แตกต่างกันอย่างมีเอกลักษณ์ คือ สีทองและฟ้า ทำให้ Vermeer เป็นจิตรกรคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของยุคที่ยิ่งใหญ่เทียบเท่า Rembrandt

​เมื่อปลายปี 2013 ภาพวาด “Girl with a Pearl Earing” ซึ่งเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดภาพหนึ่งของ Vermeer ได้ถูกนำออกแสดงที่ The Frick Collection ใน New York จนถึงวันที่ 19 มกราคม 2014 แล้ว ถูกนำไปแสดงที่ Palazzo Fava ที่เมือง Bologna ในอิตาลีจนถึงวันที่ 25 พฤษภาคมปีเดียวกัน จากนั้นก็ถูกนำกลับไปติดตั้งที่พิพิธภัณฑ์ Mauritshius ใน Amsterdam

​ในนิตยสาร Art in America ฉบับเดือนพฤษภาคมปี 1996 Trevor Winkfield ได้วิเคราะห์การทำงานของ Vermeer ว่า ถ้าพิจารณาเพียงสิ่งที่ Vermeer วาด จะพบว่าเขามิได้นำเทคนิคอะไรที่แปลกใหม่มาสู่วงการศิลปะ ดังภาพผู้หญิงกำลังอ่านจดหมายที่บริเวณใกล้หน้าต่าง ภาพสาวใช้ขณะทำงานบ้าน และภาพคนกำลังเล่นดนตรีคอนเสิร์ต ฯลฯ ภาพเหล่านี้ดูไม่แตกต่างจากภาพของจิตรกรคนอื่นๆ ในยุคเดียวกัน แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ มนตร์เสน่ห์ของภาพที่ Vermeer วาดจะเริ่มปรากฏ เพราะคนดูภาพจะเริ่มมีความรู้สึก และมีจินตนาการ
 The Astronomer
​ในนิตยสาร Art in America ฉบับเดือนพฤษภาคมปี 1996 Trevor Winkfield ได้วิเคราะห์การทำงานของ Vermeer ว่า ถ้าพิจารณาเพียงสิ่งที่ Vermeer วาด จะพบว่าเขามิได้นำเทคนิคอะไรที่แปลกใหม่มาสู่วงการศิลปะ ดังภาพผู้หญิงกำลังอ่านจดหมายที่บริเวณใกล้หน้าต่าง ภาพสาวใช้ขณะทำงานบ้าน และภาพคนกำลังเล่นดนตรีคอนเสิร์ต ฯลฯ ภาพเหล่านี้ดูไม่แตกต่างจากภาพของจิตรกรคนอื่นๆ ในยุคเดียวกัน แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ มนตร์เสน่ห์ของภาพที่ Vermeer วาดจะเริ่มปรากฏ เพราะคนดูภาพจะเริ่มมีความรู้สึก และมีจินตนาการ

​แม้โลกจะไม่รู้มากว่า จิตรกรคนนี้มีประวัติชีวิตอย่างไร เพราะ Vermeer ไม่เคยเขียนอะไรเกี่ยวกับชีวิตตนเอง ไม่เขียนจดหมาย และคนร่วมรุ่นก็ไม่มีบันทึกใดๆ เกี่ยวกับ Vermeer จะมีก็รู้เพียงชื่อเล่นของเขาว่า The Sphinx และไม่มีแม้แต่ภาพเหมือนของตนเอง ข้อมูลต่างๆ ที่โลกรู้เกี่ยวกับจิตรกรคนนี้ส่วนใหญ่มาจากเจ้าหนี้ของ Vermeer ทั้งสิ้น และแม้แต่หลุมฝังศพของ Vermeer ก็ไม่ปรากฏ

ภาพวาดแรกๆ ของ Vermeer เช่นภาพ “The Girl with the Wineglass” ที่วาดในปี 1659-60 และขณะนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Herzog Anton Ulrich ที่เมือง Braunschweig เราจะเห็นสตรีคนหนึ่งกำลังถูกผู้ชายยื่นแก้วเครื่องดื่มให้ ด้วยสายตาเจ้าชู้ที่ชัดว่าประสงค์ร้าย ภาพนี้มีขนาด 77x57 เซนติเมตร ซึ่งนับว่าค่อนข้างเล็ก คงเป็นเพราะสตูดิโอของ Vermeer ไม่ใหญ่ และ Vermeer ต้องการพื้นที่ห้องส่วนใหญ่สำหรับเลี้ยงลูก 11 คน และพื้นที่ส่วนน้อยสำหรับวาดภาพ

​ตลอดชีวิต Vermeer วาดภาพโดยเฉลี่ยปีละ 2-3 ภาพเท่านั้น อาจจะเพราะเป็นคนขี้เกียจ หรือเพราะภาพแต่ละภาพมีรายละเอียดมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถวาดได้มากเท่าจิตรกรปัจจุบัน ซึ่งอาจวาดได้มากถึงปีละ 20 ภาพ การไม่ได้รับจ้างวาดภาพอื่นๆ ตามผนังโบสถ์หรือทิวทัศน์นอกเมือง Delft เลย ทำให้วงการศิลปะพากันคิดว่า Vermeer เป็นเพียงจิตรกรสมัครเล่นคนหนึ่งที่ถนัดการวาดภาพพื้นที่ จึงเป็นคนที่มีโลกทัศน์แคบ เหล่านี้คือเหตุผลที่อาจทำให้โลกได้ลืม Vermeer เป็นเวลานานร่วม 2 ศตวรรษหลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้ว
​การค้นพบภาพวาดของ Vermeer ในศตวรรษที่ 19 เกิดจากการที่โลกมีเทคโนโลยีถ่ายภาพที่ทันสมัย ทำให้เห็นภาพวาดของ Vermeer เหมือนภาพที่ถ่ายด้วยกล้องถ่ายรูปมาก

​ส่วนภาพ View of Delft ที่ Vermeer วาดและ Delft ซึ่งเป็นทั้งบ้านเกิดและบ้านตายของ Vermeer นั้น นักประพันธ์ชื่อดัง คือ Marcel Proust มีความเห็นว่า มันเป็นภาพที่สวยที่สุดในโลก ในภาพเราจะเห็นก้อนเมฆสีเทา-ดำอยู่เหนือก้อนเมฆสีขาวอยู่ในส่วนบนของภาพ และเห็นเงาของอาคารบ้านเรือนที่สะท้อนในน้ำ ทำให้คนดูภาพมีคำถามว่า ขณะที่ Vermeer วาดภาพนั้นดวงอาทิตย์อยู่ที่ใด

​ครั้นเมื่อคนดูเดินเข้าใกล้ภาพยิ่งขึ้น เขาก็จะเห็นหมวกสีขาวของหญิงสองคน ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำที่ทำหน้าที่เป็นคูกั้นระหว่างคนดูภาพกับเมือง จึงทำให้ชวนคิดไปว่า ถ้าเราสามารถข้ามแม่น้ำโดยใช้เรือได้ เราก็คงได้ไปชมสถานที่ต่างๆ ภายในเมืองเกิดของ Vermeer แต่เมื่อไม่มีเรือ เราจึงตกสภาพเหมือนคนที่ติดกับอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของ Delft ไปชั่วนิรันดร์

​ในปี 1822 ภาพ View of Delft เป็นภาพวาดภาพแรกของ Vermeer ที่พิพิธภัณฑ์ Mauritshius ได้ซื้อจากนักสะสม เพราะมันเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ที่ Vermeer ได้วาดเกี่ยวกับวิถีชีวิต และสังคมในสมัยนั้นอย่างละเอียดสมจริง

​อ่านเพิ่มเติมจาก Girls with a Pearl Earring โดย Tracy Chevalier จัดพิมพ์โดย Dutton, New York ปี 2000

เกี่ยวกับผู้เขียน

สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์









กำลังโหลดความคิดเห็น