วันที่ศพของ Alexander Litvinenko ถูกนำไปฝังที่สุสาน Highgate ในกรุงลอนดอนใกล้ๆ กับที่ฝังศพของ Karl Marx วันนั้นฝนตกหนัก และลมพัดแรงมาก อาเภทของดินฟ้าอากาศในขณะนั้นตรงกับสภาพชีวิตของ Litvinenko ในช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ เพราะตลอดเวลาเขาต้องต่อสู้กับตำรวจลับรัสเซีย และกับอำนาจมืดที่มองไม่เห็นมากมาย ซึ่งล้วนพยายามกำจัดเขาในฐานะเป็นคนเผยแพร่ความลับของการเข่นฆ่าและทารุณผู้คนใน Chechnya โดยทหารรัสเซีย ก่อนฝังศพอิหม่ามได้ทำพิธีสวดทางศาสนาอิสลามที่สุเหร่า เพราะ Litvinenko ได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามก่อนจะเสียชีวิตเพียง 3 วัน
รายงานแพทย์ที่ได้รักษา Litvinenko ระบุว่าในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ.2006 แพทย์ได้สังเกตเห็น Litvinenko มีอาการเหมือนคนที่ได้รับสารกัมมันตรังสีเข้าร่างกายในปริมาณมาก จนสุขภาพเสื่อมสลายอย่างน่ากังวล เช่น ผมร่วงจนเกือบหมดศีรษะ ร่างกายมีอาการหนาวสั่น และปริมาณไขกระดูก ได้ลดลงๆ ตลอดเวลา จนแพทย์มีความเห็นว่า สภาพร่างกายของ Litvinenko เหมือนของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปดับไฟในเตาปฏิกรณ์ปรมาณูที่ Chernobyl ของรัสเซีย
แต่เมื่อแพทย์ตรวจร่างกายของ Litvinenko ด้วยอุปกรณ์ gamma spectrometer เพื่อวัดปริมาณรังสีแกมมา ก็ไม่ได้พบว่า เลือดหรือปัสสาวะของ Litvinenko มีรังสีแกมมาในประมาณมากผิดปกติ หลังจากการวิเคราะห์จึงสันนิษฐานต่อว่า Litvinenko อาจป่วยเพราะได้รับสารพิษหรือพิษจากแมลง ดังนั้นจึงส่งปัสสาวะของ Litvinenko ไปตรวจที่สถาบัน Atomic Weapons Establishment ในลอนดอน เพราะที่นั่นมีอุปกรณ์การตรวจกัมมันตรังสีที่ทันสมัยกว่า และแม่นยำกว่าอุปกรณ์ที่มีใช้ตามโรงพยาบาลทั่วไป
ผลการตรวจทำให้ทุกคนตกใจมาก เพราะได้พบว่า ในปัสสาวะของ Litvinenko มีรังสีแอลฟาในปริมาณมากผิดปกติ แทนที่จะพบรังสีแกมมาที่สารกัมมันตรังสีปล่อยออกมา และสาเหตุที่ทำให้ทุกคนกังวล คือ รู้ว่าเวลาอนุภาคแอลฟาปะทะเซลล์ในร่างกาย เซลล์จะถูกฆ่าทันที โดยอนุภาคจะทำลาย DNA ทำให้เซลล์กลายเป็นเซลล์มะเร็ง
อนุภาคแอลฟาที่ถูกขับออกมาจากอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายของ Litvinenko จึงทำให้ร่างกายของ Litvinenko ในขณะนั้นมีสภาพเหมือนเตาปฏิกรณ์ปรมาณูซึ่งกำลังประสบอุบัติเหตุกัมมันตรังสีรั่ว ยังไงยังงั้น
เมื่อเวลาผ่านไปๆ สุขภาพของ Litvinenko ก็ยังไม่ดีขึ้น จนถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน Litvinenko ก็เสียชีวิต
การชันสูตรศพของ Litvinenko โดยแพทย์ด้านนิติวิทยาศาสตร์ได้พบว่า อนุภาคแอลฟาที่ถูกขับออกมาจากอวัยวะภายในของ Litvinenko มีต้นกำเนิดมาจาก ธาตุ polonium 210
ธาตุ polonium (Po) ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดย Pierre กับ Marie Curie ในปี 1898 และมี 25 ไอโซโทป จะมีก็แต่ Po-208, Po-209 และ Po-210 เท่านั้นที่มีครึ่งชีวิตค่อนข้างยาว ตามปกติจะสลายตัวให้อนุภาคแอลฟาที่นับว่ารุนแรงมาก เพราะ Po-210 เพียง 1 มิลลิกรัมสามารถปล่อยอนุภาคแอลฟาได้มากเท่า เรเดียม Ra-226 หนัก 5 กรัม
ธรรมชาติมี Po-210 ในปริมาณมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับไอโซโทปอื่นๆ และเป็นธาตุกัมมันตรังสีที่ได้จากการสลายตัวยูเรเนียม U-238 จนถึงขั้นตอนหนึ่งจะมี Po-210 เกิดขึ้น จากยูเรเนียม 1 ตัน จะให้ Po-210 เพียง 1 มิลลิกรัม
เพราะปริมาณโพโลเนียมที่ได้จากธรรมชาติมีน้อยนิด ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องผลิต Po-210 ในห้องปฏิบัติการ โดยการระดมยิงบิสมัท Bi-209 ด้วยอนุภาคนิวตรอน ทำให้ได้ Bi-210 ซึ่งไม่เสถียร และมีครึ่งชีวิตนาน 5 วัน จากนั้น Bi-210 ก็จะสลายตัวต่อให้ Po-210 ซึ่งมีครึ่งชีวิตนาน 138 วัน
ส่วนอีกวิธีหนึ่งในการสังเคราะห์ Po-210 คือ เริ่มจากแก๊ส Radon-222 ซึ่งจะสลายตัวไปๆจนได้ Po-210 และถ้าต้นยาสูบดูดซับ Po-210 จากดินเข้าไป ร่างกายคนที่สูบบุหรี่ก็จะมี Po-210 ทันที
เพราะเหตุว่า Po-210 เป็นธาตุกัมมันตรังสีที่มีอานุภาพรุนแรง ดังนั้น การขนส่งโพโลเนียม-210 จึงต้องกระทำอย่างระมัดระวัง โพโลเนียม-210 เพียงครึ่งกรัมจะมีอุณหภูมิสูงถึง 500 องศาเซลเซียส ดังนั้นร่างกายคนถ้าได้รับโพโลเนียม-210 1 ไมโครกรัม (0.000001 กรัม) คือหนักเท่าเม็ดเกลือ 1 เม็ด เขาก็จะเสียชีวิตทันที เพราะแม้อนุภาคแอลฟาจะเดินทางไปในร่างกายได้ไม่ไกล แต่อะตอมของโพโลเนียมสามารถไปได้ทุกหนแห่ง
ดังได้กล่าวแล้วว่า ถ้าร่างกายได้รับ polonium-210 ในปริมาณมาก อวัยวะภายในจะทำงานล้มเหลวทันที แต่ถ้าร่างกายได้รับในปริมาณน้อย และแพทย์ให้การรักษาทันเวลา โอกาสรอดชีวิตก็จะสูง ในส่วนของการระบาดติดต่อนั้น คนใกล้ชิดที่มี Po-210 ในร่างกายเวลากินอาหารร่วมกันหรือหายใจรดกันมีสิทธิ์ผ่อนถ่ายกัมมันตรังสีถึงกันได้
ปัญหาของเรื่องนี้จึงมีว่า ใครคือฆาตกรที่ฆ่า Litvinenko ท่านรองประธานาธิบดี Vladimir Putin ของรัสเซียใช่หรือไม่ แต่ทันทีที่ถูกสงสัย ทางรัฐบาลรัสเซียได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
การสอบสวนของ Scotland Yard ได้พบว่า ในอดีตก่อนเกิดเหตุ 15 ปี Litvinenko เคยทำงานเป็นพนักงานประจำที่ Federal Security Service (FSB) ซึ่งเป็นหน่วยราชการลับที่มีหน้าที่สืบหาข้อมูลของฆาตกร หรือของแก๊งมาเฟียในรัสเซีย ดังนั้น งานในตำแหน่งนี้จึงทำให้ Litvinenko มีศัตรูมากมาย แต่ Litvinenko ก็มีเพื่อนแท้คนหนึ่งชื่อ Boris Berezovsky ซึ่งเป็นมหาเศรษฐี และหลังจากที่ได้ทำงานไประยะหนึ่ง Litvinenko ก็ตกใจเพราะประจักษ์ว่า องค์กรที่ตนสังกัดนั้น เป็นหน่วยลอบฆ่าคนที่เป็นศัตรูของหัวหน้า FSB เขาจึงเขียนจดหมายไปขออนุญาตเข้าพบท่านรองประธานาธิบดี Putin เพื่อรายงานให้ Putin ทราบข้อมูลทั้งหมด แต่ Putin มิได้ให้พบ
ในปี 1999 Litvinenko ถูกตำรวจจับด้วยข้อหาคอรัปชั่น และถูกศาลตัดสินจำคุก 8 เดือน เมื่อได้รับการปล่อยตัว เขาพยายามหลบหนีจาก Moscow แต่ถูกจับตัวได้ และถูกศาลตัดสินให้ติดคุกนาน 7 เดือน หลังจากที่ได้อิสรภาพ Litvinenko ได้ทำสัญญากับกองตำรวจว่า จะไม่หลบหนีออกจาก Moscow อีก แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญา
ดังนั้น เมื่อ Putin ขึ้นครองอำนาจแทน Boris Yeltsin การรู้ความลับสุดยอดของราชการรัสเซียทำให้ Litvinenko กับครอบครัวต้องลอบหลบหนีไปลอนดอนในเดือนตุลาคม 2000 เพื่อไปอาศัยอยู่กับ Berezovsky และวางแผนต่อต้าน Putin กระบวนการนี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก Berezovsky โดย Litvinenko มีหน้าที่เผยแพร่ข้อความโจมตี Putin ทาง internet ว่า Putin เป็นโรคจิต และมีเพื่อนฝูงที่เป็นมาเฟียมากมาย และผลงานที่ร้ายกาจที่สุดของ Putin กับพรรคพวกคือ การฆ่าชาว Chechnya จำนวนกว่า 100 คน
การโจมตีลักษณะนี้คงทำให้ Putin จ้องหมายหัว Litvinenko และ Litvinenko เองก็รู้ตัวดีว่า ตนคือเป้าสังหารของ Putin แต่ก็ไม่รู้ชัดว่า Putin จะใช้วิธีใด และจะลงมือเมื่อใด
ในเวลาเย็นของวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ.2006 ที่ Litvinenko เข้ารับการวินิจฉัยโรคที่โรงพยาบาล แพทย์ได้ตรวจพบว่า อนุภาคแอลฟาที่อยู่ในร่างกายของ Litvinenko กำลังทำลายกระเพาะอาหารของเขาตลอดเวลา แพทย์ยังได้เห็นร่องรอยของกัมมันตรังสีปรากฏที่แก้วซึ่ง Litvinenko ใช้ดื่มที่ร้านซูชิซึ่งอยู่ใกล้สถานทูตอเมริกัน เพื่อนที่ดื่มกับ Litvinenko ในวันนั้น คือ Andrei Lugovoy ซึ่งก็เคยทำงานเป็นตำรวจลับรัสเซีย การติดตาม Lugovoy ไปที่โรงแรมที่พัก นักสืบได้พบร่องรอยของกัมมันตรังสีปรากฏอยู่ทั่วห้องพัก รวมถึงในเครื่องบินที่ Lugovoy ใช้เดินทางระหว่าง Moscow กับ London ด้วย Lugovoy ได้พยายามอธิบายและชี้แจงเรื่องนี้ว่า คงมีคนจงใจให้เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรสังหาร Litvinenko แต่เขาไม่รู้ว่าใคร และเพราะเหตุใด
ครั้นเมื่อนักสืบ Scotland Yard ติดตาม Lugovoy ไปที่รัสเซีย ทางการรัสเซียได้ออกมาปฏิเสธไม่ให้ Lugovoy ให้ความร่วมมือ
สำหรับเรื่องนี้ Boris Zhuykov นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียผู้เชี่ยวชาญเรื่องกัมมันตรังสีได้ชี้แจงว่า คนที่เป็นฆาตกรตัวจริงนั้นไม่เคยคิดว่าจะมีใครตรวจพบโพโลเนียม-210 ที่ตนใช้
ด้าน Benn Tannenbaum นักฟิสิกส์แห่ง American Association for the Advancement of Science เชื่อว่า polonium-210 คงมิใช่อาวุธที่ผู้ก่อการร้ายกระจอกทั่วไปใช้ในการสังหารคน เพราะธาตุกัมมันตรังสีชนิดนี้ผลิตยาก จะมีก็แต่องค์กรของรัฐบาลเท่านั้นที่จะมีสิทธิสร้างอาวุธสังหารชนิดนี้ได้ แต่ก็คงไม่เป็นที่นิยม เพราะธาตุกัมมันตรังสีอื่นๆ เช่น americium-241 ที่ใช้ในการตรวจหาน้ำมัน และมีครึ่งชีวิตนานกว่า คือ 423 ปี และสามารถปล่อยอนุภาคแอลฟาได้มากกว่า อีกทั้งผลิตได้ง่ายกว่า ดังนั้นจึงน่าจะเป็นที่นิยมยิ่งกว่า หรือถ้าจะนำ Po-210 มาทำอาวุธฆ่าคนจำนวนมาก ผู้เชี่ยวชาญก็คิดว่า โอกาสที่คนจะตายยังเป็นไปได้น้อย
หลังจากที่การ “ฆาตกรรม” นี้ผ่านไป 6 ปี ในวารสาร The Lancet ที่ตีพิมพ์ในปี 2012 คณะผู้เชี่ยวชาญด้านกัมมันตรังสีชาวสวิสได้ออกมาแถลงว่า Yasser Arafat ซึ่งเคยเป็นผู้นำชาว Palestine ที่ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ.2004 ในฝรั่งเศส อาจถูกลอบวางยาพิษด้วย เพราะได้ตรวจพบ polonium-210 ในเครื่องใช้ส่วนตัวของ Arafat
เมื่อเสียชีวิตใหม่ๆ ในวัย 75 ปี ภรรยาของ Arafat ได้ขอร้องทางการ Palestine มิให้มีการชันสูตรศพสามีของเธอ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ชัดถึงสาเหตุการตาย แต่เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2012 ของใช้ส่วนตัวของ Arafat บางชิ้น ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ เพราะมีคนสงสัยว่า Arafat คงถูกสังหารด้วยธาตุกัมมันตรังสีเหมือน Alexander Litvinenko ในปี 2006
คณะนักวิจัยจากฝรั่งเศส (สวิสเซอร์แลนด์ และรัสเซีย) จึงได้แยกกันวิเคราะห์สมบัติส่วนตัวของ Arafat อย่างอิสระจากกัน ที่ Institute of Radiation Physics และที่ University Centre of Legal Medicine ใน Lausanne โดยได้นำตัวอย่าง 75 ชิ้นมาทดสอบ เช่น กางเกงใน หมวก แปรงสีฟัน ชุดกีฬา และตัวอย่างกระดูก ฯลฯ ที่ภรรยาม่าย Suha Arafat จัดมาให้ แล้วนำมาตรวจวัดกัมมันตรังสีเพื่อเปรียบเทียบกับของใช้อื่นๆ ของ Arafat ที่ถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดี
รายงานได้ระบุว่า ในกรณีของใช้ก่อน Arafat จะเสียชีวิต ชิ้นส่วนที่มีเหงื่อชุ่มของเขามี polonium-210 มากกว่าชิ้นส่วนที่เขาเคยใช้ในอดีตเมื่อ 10 ปีก่อน การวัดปริมาณรังสีที่ตกค้างอยู่ในของใช้ยังแสดงให้เห็นอีกว่า Arafat ได้รับ polonium-210 มากถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อชีวิต และเมื่อนักวิจัยได้อ่านรายงานแพทย์ที่รักษา Arafat ก่อนจะเสียชีวิตก็ได้พบว่าท่านผู้นำชาวปาเลสไตน์มีอาการเหนื่อยอ่อน ปวดท้อง อาเจียรและคลื่นไส้บ่อย แม้ Arafat จะไม่แสดงอาการผมร่วง หรือปริมาณไขกระดูกลด แต่อาการทั้งหมดในภาพรวมแสดงให้เห็นว่า ร่างกายของเขาได้รับพิษกัมมันตรังสี
เมื่อถึงขั้นนี้ คณะผู้วิจัยจึงได้กล่าวทิ้งท้ายว่า รู้สึกเสียดายและเสียใจที่ไม่ได้ชันสูตรศพของ Arafat ทันทีที่ Arafat ตาย มิฉะนั้นการสรุปอย่างมั่นใจก็จะเกิดขึ้น
ภรรยาหม้ายของ Arafat กล่าวทิ้งท้ายว่า เธอรู้สึกตกใจมากที่สามีเธอถูกสังหารด้วยวิธีนี้ แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยถึงรัฐบาลอิสราเอลว่าเป็นผู้สั่งฆ่าสามีเธอ เพียงแต่พูดแบบมีนัยว่า Arafat ถูกฆ่าโดยคนของประเทศที่ผลิตระเบิดนิวเคลียร์ได้ และได้ขอร้องให้คณะกรรมการชาวปาเลสไตน์ร่วมมือกันค้นหาฆาตกรตัวจริงต่อไป
ทางรัฐบาลอิสราเอลได้แถลงกล่าวแก้ว่า รัฐบาลอิสราเอลไม่เคยแตะต้องตัว Arafat เลย ดังนั้นคนที่จะวางยา Arafat ได้คือ คนใกล้ชิดของ Arafat เอง
อ่านเพิ่มเติมจาก The Litvinenko File: The True Story of a Death Foretold. โดย Martin Sixsmith จัดพิมพ์โดย Macmillan ปี 2007
เกี่ยวกับผู้เขียน
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์