สทน.พัฒนาไอโซโทปรังสี “แกเรียม” วินิจฉัยมะเร็งปอดระยะแรก

สทน.-สทน.พัฒนาผลิตภัณฑ์ไอโซโทปรังสี แกเรียม เพื่อวินิจฉัยมะเร็งปอดระยะแรก และกำลังพัฒนาสารเภสัชรังสี Ga-68 Bombesin เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก คาดจะส่งให้บริการได้ในกลางปี 2557

จดหมายข่าวจากสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. ระบุศูนย์ไอโซโทปรังสีของสถาบัน มีหน้าที่ผลิตผลิตภัณฑ์เภสัชรังสี ที่สามารถนำมาใช้วินิจฉัยโรค บรรเทาอาการของโรค หรือแม้แต่รักษาโรค เครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัยที่มีเพียงเครื่องเดียวในประเทศ และส่งให้กับโรงพยาบาลมากกว่า 25 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงมีภารกิจสำคัญ คือ การสร้างงานวิจัยใหม่ เพื่อรองรับวิทยาการทางการแพทย์ให้สอดรับกับโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน และลดการนำเข้าของเภสัชรังสีจากต่างประเทศที่มีราคาแพงได้หลายล้านบาทต่อปี

สำหรับภารกิจสร้างงานวิจัยใหม่นี้ ทางศูนย์ไอโซโทปรังสี สทน.ได้อบรม ทดสอบ ทดลอง วิจัยเภสัชรังสีใหม่ๆ บ่อยครั้ง และมีความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเภสัชรังสีจากหน่วยงานที่มีความเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในองค์การอนามัยโรค และล่าสุดได้เชิญ ดร.แมทเทีย แอสติ (Dr.Mattia Asti) จากแผนกการแพทย์นิวเคลียร์ โรงพยาบาลซานตามาเรียนูโอวา (Santa Maria Nuova Hospital) ใน เรกจิโอ เอมิเลีย อิตาลี ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชรังสีจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) มาเป็นผู้อบรมแก่เจ้าหน้าที่ของศูนย์

ดร.แอสติ มาปฏิบัติงานภายใต้โครงการ TC-Project THA/6/037 Establishing Good Radiopharmacy Laboratories with International Standard เรื่อง Ga-68 Radiopharmaceutical โดยได้มาบรรยายให้เจ้าหน้าที่ของศูนย์ไอโซโทปรังสี และกลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ ได้ร่วมสังเกตการณ์และให้ข้อเสนอแนะแก่เจ้าหน้าที่นักวิทยาศาสตร์ของ สทน.ในการทดลองปฏิบัติการในห้องทดลอง และติดฉลากสารเภสัชรังสีด้วย แกเรียม-68 (Ga-68)

ทางด้าน ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ กล่าวว่า ในปัจจุบันทางศูนย์ไอโซโทปรังสีได้ดำเนินการผลิตไอโซโทปรังสีแกเรียม Ga-68 DOTATATE ให้แก่โรงพยาบาลในขั้นตอนทดลองใช้กับคนไข้เพื่อการวินิจฉัยโรคมะเร็งในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งและเนื้องอกในปอด และขณะนี้กลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ของ สทน.กำลังพัฒนาสารเภสัชรังสี Ga-68 Bombesin เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก ในอนาคตต่อไป ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จได้และสามารถส่งให้โรงพยาบาลต่างๆ นำไปให้บริการผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวได้ภายในกลางปี 2557 นี้