xs
xsm
sm
md
lg

Alone in Osaka ๑.๑ : สึเทนคะคุ หอคอยแห่งกาลเวลา

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
Alone in Kyoto ๑.๑ : กว่าจะถึงวัดศาลาทอง (คินคะคุจิ)
Alone in Nara : เขาสวนกวางในวันฝนพร่ำ
Alone in Kyoto ๑.๒ : วัดคิโยะมิซุ ยามอาทิตย์อัสดง
Alone in Osaka ๑.๐ : ของดีที่ ปราสาทโอซาก้า!!

๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟใต้ดินมินะมิ โมริมะจิ จ.โอซาก้า

การเดินทางของผมกำลังจะก้าวสู่ครึ่งวันแล้ว ... กับการตามล่าแต้ม เอ๊ย ไม่ใช่ ตามเก็บสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในอำเภอเมืองโอซาก้า ศูนย์กลางของจังหวัดใหญ่ในภูมิภาคคันไซ ซึ่งตามแผน เราเขยื้อนเข้าสู่เขตคิตะ เพื่อจะไปชมย่านการค้าที่ว่ากันว่า ยาวที่สุดในเมือง แต่ก่อนหน้านั้น ตามโปรแกรมเราต้องไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันก่อนครับ

และจุดแรกก็คือ “ศาลเจ้าโอซาก้า เท็นมัง งุ” (Osaka Tenmangu) ที่สถิตย์แห่งเทพเจ้าแห่งปัญญา ตำนานการสร้างคล้ายๆ กับศาลเจ้าคิตะโนะ เท็นมัง งุ ใน จ.เกียวโต ที่ผมเคยไปเยือนเมื่อวานซืน แต่ก่อนที่จะถึงศาลเจ้า ผมเหลือบเห็นคนเขาเริ่มจะต่อคิวกันในบริเวณอาคาร ๒ ชั้น ตรงก่อนถึงทางเข้าด้านหลัง สืบทราบต่อมาพบว่า นี่คือโรงละครที่ชื่อ “เท็มมะ เทนจิน ฮันโจะ เตย์” (Tenma tenjin Hanjo tei) สถานบันเทิงเก่าแก่ของคนในย่านนี้ โดยจะมีการแสดงของ “ราคุโงะ” (Rakugo) นักเล่าเรื่องตลกขบขันแบบญี่ปุ่นโบราณ ก็คือ เดี่ยวไมโครโฟน พร้อมท่าทางประกอบนั่นล่ะ แต่มีอุปกรณ์เพียงพัดกระดาษและผ้าเช็ดหน้า และผู้แสดงอยู่ในท่านั่งพับส้นเท้าลงบนเบาะผ้า เห็นว่าโชว์ให้ได้ชมกันวันละ ๓ รอบ ค่าบัตรราว ๒,๕๐๐ เยน

ถัดมาเข้าสู่ภายในศาลเจ้า ตามตำนานว่าสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๑๔๙๒ แล้ว แต่ว่าเพิ่งถูกบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๖ ภายหลังถูกไฟไหม้มาทั้งหมด ๗ ครั้ง โดยวิหารหลักที่ชื่อ อิชิ โนะ มะ ซุคุริ (Ishi-no-ma-zukuri) อาคารไม้ถูกสร้างขึ้นในอีก ๒ ปีต่อมา ด้านหน้ามีกิเลนคู่หันหน้าเข้าหากัน ใต้ขื่อหลังคาแขวนโคมไฟสีขาวแท่งยาวไว้หลายอัน ที่นี่นอกจากจะเป็นที่นิยมของนักเรียน นักศึกษา และพ่อค้า แม่ค้าในย่านนี้แล้ว ยังมีการจัดงานเทศกาลเทนจิน มัตสึริ เทศกาลขนาดใหญ่ ๑ ใน ๓ ของญี่ปุ่น ในวันที่ ๒๔ และ ๒๕ กรกฏาคม ของทุกปี จะมีบรรดาผู้เลื่อมใสกว่า ๓,๐๐๐ คน แต่งกายในชุดโบราณ พากันร้องรำแห่ไปทั่วเมือง ก่อนที่จะพากันไปลงเรือ ๑๐๐ ลำ ล่องในแม่น้ำโอกะวะ

ผมเดินเล่นดูโน้นนี่ไปเรื่อยๆ เจอซุ้มให้เช่าเครื่องราง ก็เข้าไปดู แล้วก็สังเกตอะไรบางอย่าง .. ด้านข้างมีห้องติดประตูกระจก แต่ตรงข้างหน้าประตู มีหนังสือรวมภาพงานแต่ง ด้วยความสงสัยก็เลยถามน้องคนประจำซุ้ม เขาเลยพาเข้าไปดูด้านในห้อง (ซึ่งผมไม่ได้ถ่ายรูปมา) ที่นี่เขามีบริการจัดพิธีแต่งงานด้วยครับ มีภาพงานแต่งแบบต่างๆ ของชาวญี่ปุ่นให้ดู ดูกันเพลิน เห็นแล้วก็ แหม.. พิธีกรรมเขาน่าจะเคร่งครัด จนอยากมีเจ้าสาวกันเลยทีเดียว (อันนี้ไม่เกี่ยว)

ศาลเจ้านี้เปิด ๙ โมง - ๕ โมงเย็น ส่วนที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือตรงประตูใหญ่ทางเข้าใต้หลังคานั้นมีสัญลักษณ์ปีนักษัตร ๑๒ ราศีอยู่บนนั้นด้วย เมื่อชมจนเวลาอันสมควรก็ได้ฤกษ์เดินทางต่อ จากประตูใหญ่เลี้ยวขวาแล้วตรงเข้าสู่ทางเดินย่านการค้าครับ

ที่นี่คือ “เทนจินบะชิซุจิ โชเท็งไง” (Tenjinbashisuji Shotengai) ศูนย์การค้าที่มีความยาวที่สุดในญี่ปุ่น กว่า ๒.๖ กิโลเมตร จุดสตาร์ทอยู่ที่สะพาน เทนจินบะชิ เป็นซอยยาวไปเรื่อยๆ ตรงที่ผมเดินออกมานี่น่าจะห่างจากจุดเริ่มต้นไม่กี่ร้อยเมตรนะ ทางเดินผ่านแยกต่างๆ ไปจนสิ้นสุดที่ เท็นจินบะชิซุจิ นานะ โจเมะ ตรงทางเข้าซอยจะมีตุ๊กตาหุ่นญี่ปุ่นที่เรียกว่า โอมุคาเอะ นิงเงียว (Omukae Ningyo) แขวนอยู่ด้วย เขาว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเทศกาลเทนจิน มัตสึริ ล่ะ ในซอยนี้ก็มีร้านค้ามากมาย หลายอย่างมาก ตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า ของใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้วยชามต่างๆ เยอะจริงๆ

ตามประวัติว่า อาเขตแห่งนี้เดิมเป็นเส้นทางผ่านไปนมัสการเทพเจ้าที่ศาลเจ้าที่ผมเพิ่งออกมานั่นล่ะ ต่อมาในสมัยเมจิ จึงพัฒนามาเป็นอาเขตการค้า โดยในย่านจะจัดกิจกรรมต่างๆ ในช่วงเทศกาลมัตสึริด้วย ผมเดินผ่านเจอร้านของกินมากมายจริงๆ แต่ก็เลือกไม่ถูกสักแห่ง จนมาเจอร้านข้าวหน้าปลาไหลย่าง มีพนักงานสาวยืนแจกใบปลิวเชิญชวนให้เข้าร้าน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ เขามีโปรโมชั่นข้าวหน้าปลาไหลในราคาแค่ ๕๐๐ เยน โอ้ น่าลองโคตรๆ เลยไม่รีรอเข้าร้าน

ภายในเป็นร้านเล็กๆ ๑ คูหา ด้านติดประตูกำลังย่างปลากันกลิ่นนี่ฟุ้งไปทั่ว หัวเหอเหม็นไปตามๆ กัน ฮ่าๆๆ รอไม่นานก็ได้มา ปลาไหล ๑ ชิ้น โปะหน้าข้าวในถ้วยขนาดกลาง ราดซอสตามสมทบ อื้อหือ อร่อยแท้ๆ แม้ไม่ทาอะไร (นั่นมันสโลแกนขนมปัง) รีบๆ กิน ก่อนเดินเล่นต่อ ไปๆ มาๆ ปวดฉี่... หาห้องน้ำสาธารณะก็ใช่ว่าจะเจอง่ายๆ ... งานเข้าเลยทีนี้ อดทนอดกลั้นด้วยความยากลำบากเพราะอากาศเย็น จำใจเดินจนเจอเป้าหมาย เห็นร้านอาหารที่น่าสนใจก็เลยตรงเข้าไป ดูเมนูที่ไม่แพงมาก แล้วรีบสั่งก่อนไปเข้าห้องน้ำ ... (โถ... ชีวิต)

พอเสร็จธุระกลับมาถึงที่นั่งหน้าบาร์ที่ผมจองไว้ อาหารก็มาพอดี เป็นอุด้ง พร้อมแผ่นสีเหลือง ดูคล้ายลูกชิ้นปลาฮือก๊วยบ้านเรา แต่ ... มันไม่ใช่ครับ มันคือเต้าหู้ทอดมีรสหวาน กัดไปคำแรกนี่ถึงกับอึ้ง ... นี่กูสั่งอะไรมาวะ? ผมถามตัวเองพลางกินเข้าไปด้วยอารมณ์เสียดาย รสมันหวานกับน้ำซุปจืดๆ ก็กินได้แต่เราอาจจะคาดหวังเกินไปว่า มันคือลูกชิ้นปลา พอมันไม่ใช่ก็เลยผิดหวังกันไป ... ให้ถือเสียว่า ได้สถานที่ปลดทุกข์ก็ดีแล้ว

สุดปลายทางของผมอยู่บนถนน มิยะโคะจิมะ ตรงนี้ มีพิพิธภัณฑ์บ้านและความเป็นอยู่ของชาวเมืองโอซาก้า ด้วย และตอนแรกผมก็ใส่เอาไว้ในโปรแกรมว่า จะมาเที่ยวที่นี่เช่นกัน แต่ตัดสินใจโละออกในนาทีสุดท้าย เพราะคิดว่าถ้าเข้าก็คงไม่ทันได้ไปที่อื่นแน่ๆ เลยมุ่งหน้าไปที่สถานีรถไฟใต้ดินเทนจินบะชิซุจิ โรคุ โจเมะ แล้วนั่งรถไฟสายสีเลือดหมู ไปลงสถานี ซาไกซุจิ ฮงมะจิ เพื่อต่อรถไฟสายจุโอะ สีเขียว ไปลงสถานี โอซาก้าโกะ สู่จุดมุ่งหมายแห่งใหม่ ... คราวนี้เราจะไปล่องเรือชมวิวกันครับ

ที่ผมกล่าวถึงก็คือเรือสำเภาแบบยุโรปสมัยเริ่มล่าอาณานิคมชื่อ “ซานต้า มาเรีย” (Santa Maria) ของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นั่นเอง สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งในย่านนี้ จะนำพาเราลงเรือจำลองลำใหญ่ วิ่งวนไปรอบอ่าวโอซาก้า ให้ชมทัศนียภาพริมฝั่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ ... อันนี้คือที่คิดไว้ ค่าเข้าชมที่นี่ จะแบ่งเป็น ๒ รอบ รอบกลางวัน ๑,๖๐๐ เยน และกลางคืน ๒,๕๐๐ เยน ระยะทางจะไกลกว่าหน่อย สำหรับผม ผู้มีบัตรเบ่ง ฮี่ๆๆ เข้าฟรีครับ แต่ได้เฉพาะรอบกลางวันเท่านั้น และที่สำคัญ แต่ละเดือนมีรอบสุดท้ายไม่เหมือนกันอย่างเช่นเดือนนี้รอบสุดท้ายอยู่ที่ ๔ โมงเย็น ส่วนท่าขึ้นเรืออยู่ทางด้านข้างของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอซาก้า หรือที่เรียกว่า ไคยุคัง (Kaiyukan)

พอถึงเวลาพนักงานก็จะเปิดทางให้เราข้ามสะพานลงไป ตอนนี้ให้เราคิดว่าเป็นลูกเรือของโคลัมบัส เพื่อค้นพบดินแดนแห่งใหม่ (ขนาดนั้นเลย..) ภายในเรือมี ๔ ชั้นแบ่งออกเป็นชั้นใต้ดิน ๒ ชั้น ชั้นบน คือชั้นทางเข้า และชั้นลอย ชั้นทางเข้านี่เป็นห้องอาหาร มีบริการของว่างให้ทาน แต่เสียตังค์เพิ่มนะ ส่วนชั้นล่างเป็นเรื่องราวของเรือลำนี้ รวมไปถึงอุปกรณ์ในการใช้ชีวิตบนเรือ และเครื่องมือต่างๆ ด้วย

เรือเคลื่อนออกจากท่าขับวนไปเรื่อยๆ มองให้เห็นวิวพิพิธภัณฑ์ และชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ แล้วก็วนรอบๆ อ่าวไม่ไกลมาก แรกๆ ก็ตื่นเต้นดี สักพักก็เริ่มเบื่อมันวนอยู่แค่นั้นไงครับ วิวเดิมไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ ๒ ข้างทางก็มีแต่ตึกกะโกดัง คิดไปคิดมาเทียบกับตอนนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาเล่นๆ ยังมีอะไรให้ดูมากกว่าเยอะ ก็ถือเสียว่า มานั่งตากลมเล่นๆ แล้วกัน


เวลา ๔๕ นาที ผ่านไปอย่างเอื่อยๆ เสมือนหยุดให้เราคิดทบทวนหลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้น จนเรือล่องกลับมายังท่าเดิม เมื่อนั้นจึงได้ตื่นจากภวังค์ความคิดเพื่อเดินทางต่ออีกครั้ง

ลืมเล่าให้ฟังว่า อันที่จริงย่านนี้แต่ก่อนเป็นท่าเรือเก่า ที่ชื่อ “เทมโปะซาน” (Tempozan) เปิดทำการค้าระหว่างประเทศมาตั้งแต่สมัยเมจิ แต่ต่อมาก็ไม่ค่อยได้ใช้งานตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ต่อมาก็ได้มีการพัฒนามาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ในชื่อว่า เทมโปะซาน ฮาร์บอร์ วิลเลจ เปิดตัวใน พ.ศ.๒๕๓๓ ประกอบด้วยศูนย์การค้า และ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น และต่อมาในปี ๒๕๔๐ ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ที่สูงที่สุดในโลกก็ถูกสร้างขึ้นมา ในชื่อ “เทมโปะซาน เฟอร์รี่ วีล” (Tempozan Ferris Wheel) นี่ล่ะครับ คือจุดหมายต่อไปของผม

ชิงช้าสวรรค์นี้มีความสูง ๑๑๒.๕ เมตร มีความยาวจากเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๐๐ เมตร แต่ตอนนี้ไม่ได้ติดอันดับโลกแล้วนะ แถมยังหล่นไปอยู่อันดับที่ ๔ ของญี่ปุ่นด้วย ชิงช้านี้อยู่ถัดจากพิพิธภัณฑ์และศูนย์การค้า ตอนเห็นอยู่บนเรือนี่นึกถึงเอเชียทีคบ้านเรามาก แต่พอมายืนตรงใต้ชิงช้าแล้วกลับรู้สึกเหมือนกำลังจะได้เล่นเครื่องเล่นในสวนสนุก ผมต้องเดินขึ้นบันไดไปประมาณ ๓ ชั้น ก็จะถึงทางเข้า มีพนักงานคอยตรวจตั๋ว ค่าเข้าในราคา ๘๐๐ เยน และแน่นอนบัตรเบ่งของผมยังใช้ได้กับที่นี่ เขามีแถวให้เลือกว่า จะนั่งแบบกระจกใสหมดทั้งตู้ หรือแบบธรรมดา ใจผมเนี่ยอยากนั่งแบบใสๆ นะ แต่ดูท่าต้องรออีกนานมากๆ เพราะมีไม่กี่ตู้ จึงจำใจขึ้นแบบธรรมดาก็ได้ฟะ

สัมผัสแรกก็รู้สึกเหมือนนั่งชิงช้าสวรรค์ในสมัยเด็กๆ นะ ชิลล์ๆ สบายๆ ดูวิวเก๋ๆ รอบอ่าวโอซาก้า พร้อมเสียงบรรยายภาษาญี่ปุ่นที่เราฟังไม่รู้เรื่อง มองเห็นสะพานเหล็กยาวๆ สีแดง อันนั้นคือสะพานมินะโตะ สะพาน ๒ ชั้นที่สร้างมาตั้งแต่พ.ศ.๒๕๑๗ จริงๆ เขาว่าถ้าวันฟ้าเปิด เมฆหมอกน้อย สามารถเห็นไปได้ถึง จ.โกเบ หรือ สนามบินคันไซเลย แต่ตอนนี้ผมได้ชมภูมิทัศน์ยามอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าแทน ... แต่ทว่า ... พอมันขึ้นสูงไปเรื่อยๆ ลมที่รุนแรงเริ่มรุกเร้าถาโถมปะทะกับกระเช้าของผมจนมันสั่น พร้อมกับอากาศที่เริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสูงยิ่งหนาวมันเป็นแบบนี้นี่เอง แค่แว่บเดียวไอ้สมองมันก็เสือกประมวลผลในแง่ร้ายขึ้นมา ความคิดอันฟุ้งซ่านแผ่ขยายแบบไม่ทันตั้งตัวจริงๆ จนชิงช้าพากระเช้าของผมวนไปสู่จุดยอด แล้วค่อยๆ ลงมา ความคิดนั้นก็เริ่มคลาย ... แล้วก็รู้สึกว่า มันจะดีมากๆ ถ้ามีใครสักคนมาร่วมใช้เวลาราว ๑๕ นาทีที่อยู่บนท้องฟ้ากับเรา...


ผมเดินจากลาท่าเรือ มาสู่สถานีรถไฟใต้ดินอีกครั้ง ความจริงถ้ามีเวลาอยู่เมืองนี้มากกว่านี้การเข้าชมปลาฉลามวาฬในไคยุคังคงเป็นสิ่งที่ผมไม่น่าพลาดแน่นอน แต่ตอนนี้ ผมได้ขึ้นรถไฟเพื่อกลับไปยังจุดเซฟ โรงแรมที่พัก ... คราวนี้ไม่ใช่อะไรครับ ขอเปลี่ยนจากโจงกระเบนเป็นกางเกงยีนส์ดีกว่า อากาศวันนี้ไม่เป็นใจให้ใส่จริงๆ ครับ ลมหนาวพัดทะลุทะลวงมากมาย... เมื่อเสร็จสรรพก็ได้เวลาลุยต่อสิครับ!!!

ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เราไปหาอะไรกินดีกว่าครับ ไม่ไกลจากที่พักของผมมาก อยู่ในซอยข้างๆ ตึกปาจิงโกะบนถนนฝั่งตรงข้าม ซอยนี้มีชื่อว่า “จาน จัง โยโกะโจะ” (Jan-jan Yokocho) เป็นทางเดินที่รถผ่านไม่ได้แต่สามารถทะลุไปออกพื้นที่การค้าอื่นๆ ในย่านชินเซไก และแถวนี้ก็มีร้านอาหารอร่อยมากมาย โดยเฉพาะของขึ้นชื่ออย่าง “คุชิ อะเกะ” (Kushi age) หรืออาหารเสียบไม้ชุบแป้งทอดนั่นเอง และผมก็เลือกร้าน “ยะเอะ คัตสึ” (Yaekatsu) เป็นที่ทดลองชิม ร้านนี้ในเว็บทาเบะล๊อค มีคนรีวิวเยอะมากครับ หน้าร้านจะมีรูปตัวทานุกิเป็นมาสคอต

พอเข้าไปข้างในเป็นบาร์ล้อมครัว มีเนื้อสัตว์ พวก หมู เนื้อ ไก่ ปลาหมึก ไส้กรอก และผักดิบเสียบไม้อยู่ในตู้กระจกข้างหน้า มีเมนูบอกราคาไว้ไม้ละเท่าไหร่ ซึ่งก็เริ่มต้นที่ ๑๕๐ เยนขึ้นไป โชคยังดีที่ระบุภาษาอังกฤษไว้ด้วยว่าอะไรขายยังไง ผมก็ใช้วิธีชี้ๆๆ พ่อครัวก็จะหยิบไปคลุกแป้งแล้วลงทอดให้ดูกันจะจะ อารมณ์ประมาณยืนรอลูกชิ้นทอดรถเข็นนั่นล่ะ พอสุกเขาก็เอามาวางไว้บนตะแกรงเหล็กด้านหน้าเรา บนโต๊ะนี่มีผักกะหล่ำให้แกล้ม พร้อมน้ำจิ้มซอสสีดำอยู่ในถ้วยสแตนเลสให้ทานด้วย แต่!! ข้อห้ามของที่ร้านแบบนี้ก็คือ อนุญาตให้จิ้มได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จะกัดไปคำนึงแล้วเอามาลงจิ้มใหม่ไม่ได้เด็ดขาด!!

ผมสังเกตุบริเวณรอบข้างส่วนใหญ่มักมากินกันมากกว่า ๒ คน เหมือนเป็นแหล่งนัดทานเบียร์ คุยนอกเวลางาน จีบกัน อะไรประมาณนี้ ผมนี่นั่งทานคนเดียวดูเหมือนกลายเป็นคนประหลาดไปเลย (จริงๆ ก็ประหลาดอยู่แล้ว) ฮ่าๆๆๆ

ชิมให้รู้รสพอเป็นพิธี (เพราะถ้าเอาอิ่มนี่คงหมดหลายพันเยนแน่ๆ) ก่อนจรลีลี้ไปเที่ยวเล่นต่อ จริงๆ แถวนี้นี่มีร้านทาโกยากิที่อยู่ในลิสต์ของผมเหมือนกัน แต่ว่ามาช้าไปมันปิดซะแล้ว จุดต่อไปเราจะขึ้นสู่หอคอยประจำเมืองที่ชื่อ “สึเท็นคะคุ” (tsutenkaku) แต่ก่อนขึ้นต้องโชว์โง่ด้วยการหาทางเข้าไม่เจอครับ ฮ่าๆๆ เดินเลอะๆ เทอะๆ อยู่แถวใต้หอคอยสักพักจึงเจอประตูเล็กๆ เพื่อลงไปสู่ที่จำหน่ายตั๋ว ในราคา ๗๐๐ เยน แต่...ที่นี่ก็ยังคงใช้บัตรเบ่งได้เช่นเดิม จากนั้นเขาก็พาเราขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น ๒ เพื่อเดินไปสู่ลิฟท์อีกตัวที่พาเราไปยังชั้น ๕ จุดชมวิวสูงสุด


บนชั้นนี้ล้อมรอบไปด้วยกระจกพร้อมรูปปั้นคล้ายเด็กอยู่ตามจุดต่างๆ เขาบอกว่าเป็นวิหารบิลิเก็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ ?? พร้อมเทพแห่งโชคลาภทั้ง ๗ และรูปปั้นของบิลิเก็นในลักษณะต่างๆ ทั้งในชุดป๊อปอาย เทพีสันติภาพ และยังมีที่ให้เสี่ยงเซียมซีด้วยการหมุนแป้นวงกลมด้วย ผมเห็นแล้วก็สงสัยว่า บิลิเก็นนี้หน้าคุ้นๆ หรือว่าเขาจะเอาแบบไปวาดเป็นตัวการ์ตูนลักกี้แมนกันนะ ก็เลยถามพนักงานประจำจุด พอพูดชื่อเท่านั้นล่ะ พนักงานหนุ่มอีกคนตะโกนขึ้นมาว่า ลัคกี้ คุกกี้ แล้วก็บอกว่า รู้จักเรื่องนี้ แต่ไม่น่าจะใช่ แต่ถ้าเรื่องคินนิคุแมนเนี่ย ใช่แน่นอน

ลงมาชั้น ๔ ชั้นนี้ปิดไฟมืดให้ดูทิวทัศน์ของเมืองโอซาก้ายามค่ำคืนได้อย่างเต็มอิ่ม มีจอแสดงภาพอาคารต่างๆ ในเวลากลางวันแบบที่โตเกียวทาวเวอร์ด้วย จึงได้เห็นภาพของตึกอาเบะโนะ ฮารุคัส (Abeno Harukas ) ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย ส่วนชั้น ๓ นี่ก็ถือว่าน่าสนใจมากครับ ได้เล่าเรื่องราวของหอคอยและย่านนี้ในสมัยก่อน ผ่านรูปภาพ และแบบจำลอง ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ... พร้อมกับดนตรีประกอบแบบเศร้าๆ ถ้าคนที่เซนซิทิฟหนักๆ อ่านเรื่องราวไปแล้วคิดตามถึงความรุ่งเรืองและร่วงโรยของที่นี่แล้ว อาจจะน้ำตาซึมเลยก็ได้


จริงๆ หอคอยนี้ถูกสร้างเป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุกที่ชื่อว่า โอซาก้า ลูน่า พาร์ค ในใจกลางเมืองใหม่ ชิน เซไก (Shinsekai) เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๕ เพื่อเป็นแลนด์มาร์ก และเป็นสถานีปลายทางของกระเช้าลอยฟ้าด้วย โดยหอคอยแต่เดิมสร้างแบบมาจากหอคอยไอเฟลของฝรั่งเศส มีความสูง ๖๔ เมตร กลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของยุคนั้น แต่ทว่าสวนสนุกนี้กลับต้องปิดตัวลงใน พ.ศ.๒๔๖๖ ส่วนตัวหอคอยนั้นได้ถูกไฟไหม้จนได้รับความเสียหายในปี ๒๔๘๖ รัฐบาลก็เลยถือโอกาสถอดชิ้นส่วนโลหะนำไปใช้สร้างยุทโธปกรณ์แทน

จนกระทั่งหลังสงครามโลก บริเวณนี้กลายเป็น ๑ ในย่านที่มีคนยากจน และอันตรายมากที่สุด แต่ต่อมาก็ได้มีการปรับปรุงให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญรวมทั้งชาวโอซาก้าเองก็ได้กดดันให้มีการสร้างหอคอยที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ขึ้นมาใหม่ โดยสำเร็จเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ มีความสูงทั้งสิ้น ๑๐๓ เมตร มีการสร้างนาฬิกายักษ์ที่สุดของประเทศติดอยู่ด้านทิศตะวันออกของหอคอย มีการประดับไฟแอลอีดีให้ชาวบ้านใช้งานได้จริง ที่เอ่ยเช่นนี้เพราะยอดของหอคอยเขาได้ประดับไฟเป็นสัญญาณพยากรณ์อากาศในวันรุ่งขึ้นด้วย ส่วนสีของไฟที่ประดับรอบๆ หอคอยนั้นก็เปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูรวม ๖ สีต่อปี อย่างผมมาเดือนธันวาก็เป็นสีน้ำเงินเขียวแทนความหมายของต้นสนใบยาว

ชั้นนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องเกี่ยวกับหอคอยเท่านั้น แต่ยังมีร้านอาหารของว่างคาเฟ่ เดอ ลูน่า พาร์ค และร้านของฝากสินค้าขึ้นชื่อของเมืองอย่าง “กูลิโกะ” (Glico) ... ใช่ครับ ไอ้พวกป๊อกกี้ โคล่อน ที่กินกันในบ้านเราเนี่ยล่ะครับ เพราะว่าผู้ก่อตั้งคือคุณ ริ อิจิ เอะซะกิ (Ri-ichi Ezaki) ได้เริ่มขายสินค้าลูกกวาดรสคาราเมล ภายใต้ชื่อซึ่งย่อมาจากศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่า ไกลโคเจน รวมถึงเปิดบริษัทที่เมืองนี้เป็นแห่งแรก จึงถือได้ว่า ไอ้เจ้าสินค้าในเครือเนี่ย เป็นของฝากจากโอซาก้าได้เช่นกัน ฮ่าๆๆๆ

และที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ร้านขายอย่างเดียว แต่ยังมีของเก่า อาทิ กล่องกูลิโกะและ ผลิตภัณฑ์ในแต่ละยุคสมัย ส่วนสินค้าแม้ราคาจะไม่ได้ถูกมาก บางชิ้นซื้อตามร้านขายยาน่าจะถูกกว่า แต่สิ่งที่ต่างคือ บางชิ้นไม่มีขายในท้องตลาด ส่วนชิ้นที่มีขายทั่วไปเขาจะมีสติ๊กเกอร์แปะไว้ที่ผลิตภัณฑ์ให้รับรู้ได้ว่า เฮ้ย ซื้อมาจากหอคอยโอซาก้านะเว้ยยยยยย

ส่วนชั้น ๒ ลงมาก็จะเป็นโซนของพิพิธภัณฑ์ย่อมๆ ของการ์ตูนเรื่อง “คินนิคุแมน” (Kinnikuman) ซึ่งผมเผอิญเกิดทันแต่ไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เลยไม่ได้ดูละเอียดมากนัก ถัดไปเป็นโซนร้านของที่ระลึก และก็เป็นทางออก

พอออกมาก็กลับรู้สึกว่า เขาพยายามสร้างหอคอยแห่งนี้ไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยว หรือแลนด์มาร์ก แต่เป็นสิ่งย้ำเตือนความทรงจำของคนรุ่นก่อนให้ได้ระลึกถึงกันอีกครั้ง และให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้สิ่งที่ผ่านมาจากการบอกเล่าในสิ่งที่เหลืออยู่สู่ยุคปัจจุบัน

เป็นอันว่า ภารกิจตามแผนวันนี้ สิ้นสุดแล้ว ... เหลือบดูเวลา ยังพอมีอยู่บ้าง ต้องหาอะไรทำสักหน่อยแล้วล่ะ!!

อ่านต่อฉบับหน้า... (จะจบแล้วจ้า)

ข้อมูลบางส่วน : http://tenjinsan.com/tenmangu.html# , http://www.osaka-info.jp/th/sightseeing/_osaka_temmangu.html http://www.osaka-info.jp/th/shopping/tenjinbashisuji_shotengai.html , http://www.hanjotei.jp/index.html ,http://www.jfbkk.or.th/tawan28_05th.php , http://suijo-bus.jp/cruise/santmaria.aspx ,http://www.osaka-info.jp/suito/concept/en/cruise/santamaria.html , http://www.kaiyukan.com/language/eng/shoping.html ,http://www.osaka-info.jp/th/course/_tempozan.html , http://tabelog.com/en/osaka/A2701/A270206/27000443/ ,http://www.tsutenkaku.co.jp/Guide-pdf/mishiran-guide-thailand.pdf ,http://www.osaka-info.jp/th/sightseeing/_tsutenkaku.html ,วิกิพีเดีย
กำลังโหลดความคิดเห็น