xs
xsm
sm
md
lg

William Thomas Morton บุคคลแรกที่ทำให้มนุษย์ไม่ต้องทนทุกข์จากความเจ็บปวด

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

William Thomas Morton บุคคลแรกที่ทำให้มนุษย์ไม่ต้องทนทุกข์จากความเจ็บปวด โดยใช้อีเธอร์เป็นยาสลบในการผ่าตัด
ในการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ บางครั้งความกลัวและการดื้อรั้นของสังคมได้สร้างอุปสรรคขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ของนักวิทยาศาสตร์ และนักประดิษฐ์ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1856 เมื่อ William Thomas Green Morton นำอีเทอร์ (ether) มาใช้เป็นยาสลบในการผ่าตัดเป็นครั้งแรก ผลงานนี้ได้ยุติการทรมานและความทารุณที่เกิดขึ้นเวลาแพทย์ผ่าตัดคนไข้ขณะคนไข้คนนั้นยังมีสติ แม้ความสำเร็จของ Morton จะเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของทุกคน แต่การค้นพบนี้ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสังคม หรือสถาบันศาสนาใดๆ เพราะในสมัยนั้น นอกจากบรรดาแพทย์จะมีความอิจฉาริษยาสูงและมีอคติต่อกันแล้ว บุคลิกและนิสัยส่วนตัวของ Morton ก็มีส่วนในการทำให้อีเทอร์ถูกต่อต้านด้วย ทั้งนี้เพราะ Morton เป็นเพียงทันตแพทย์ที่ไม่ได้รับการศึกษาสูง เป็นคนโลภ และคิดหารายได้จากคนไข้ที่กำลังทุกข์ทรมานด้วยอาการปวดฟัน และประเด็นหลังนี้เองที่ทำให้เขาเป็นคนที่สังคมคิดว่า ไร้จริยธรรม

เมื่อ 4,500 ปีก่อนนี้ชาวอียิปต์โบราณรู้วิธีทำให้คนสลบหรือหมดสติ โดยใช้การบีบคอ จนเลือดไหลขึ้นเลี้ยงสมองไม่ได้ หรือใช้ท่อนไม้ฟาดที่กะโหลกศีรษะอย่างรุนแรง เมื่อมนุษย์เจริญขึ้น เทคนิคการทำให้คนสลบก็ได้รับการพัฒนายิ่งขึ้น เช่น ในค.ศ.100 แพทย์ยุโรปจะให้คนไข้กินรากของต้น mandragora และ belladonna เพื่อทำให้หมดสติ ต่อมาเทคนิคการทำให้คนไม่รู้สึกเจ็บก็ถูกพัฒนาไปโดยให้กินแอลกอฮอล์ ฝิ่น และกัญชา เพื่อให้คลายเจ็บ ขณะแพทย์ทำการผ่าตัด ถึงสารลดความเจ็บปวดเหล่านี้ให้ผลเป็นที่พอใจในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สมบูรณ์ทีเดียวนัก เพราะในบางครั้งคนไข้กลับฟื้นและรู้สึกตัวในขณะที่การผ่าตัดยังไม่ลุล่วง

ในเวลาต่อมาสถาบันศาสนาได้มีความเห็นว่า สุรา ฝิ่น และกัญชาล้วนเป็นยาเสพติดของคนนอกรีต ดังนั้นจึงสั่งห้ามทุกคนใช้ แพทย์จำต้องใช้วิธีอื่นมาแทน เช่น Franz Mesmer แพทย์ชาวเยอรมันใช้วิธีสะกดจิต Joseph Priestley ผู้พบอ๊อกซิเจนและแก๊ส nitrous oxide ในปี 1772 ได้นำ nitrous oxide ไปสาธิตการทำให้คนสลบ Humphrey Davy ผู้ประดิษฐ์ตะเกียงนิรภัยได้เสนอให้แพทย์ใช้แก๊ส nitrus oxide นี้เป็นยาชาในการผ่าตัด แต่ไม่มีแพทย์คนใดเชื่อ เพราะทั้ง Priestley และ Davy ต่างก็เป็นนักเคมี และวงการแพทย์ในเวลานั้นกลับไปสนใจประเด็นความสามารถของแก๊ส nitrous oxide ในการทำให้คนไข้หัวเราะยิ่งกว่าความสามารถด้านอื่น

ลุถึงปี 1824 แพทย์ชื่อ Henry Hickman จึงได้ทดลองให้คนไข้สูดหายใจแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เข้าปอดจนคนไข้หมดสติ แต่ความสำเร็จของ Hickman ในเรื่องนี้ไม่มีแพทย์แพทย์คนใดสนใจ เพราะหลายคนที่ศรัทธาและเคร่งศาสนายังเชื่อว่า การทนทุกข์ทรมานเป็นสิ่งที่พระเจ้าประสงค์จะใช้ทดสอบความเข้มแข็งของจิตใจ ดังนั้นคนที่สามารถทนทุกข์หนักที่สุดได้ (หรือถูกฆ่า) จะได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่มีจิตใจสูงส่ง และเป็นผู้ที่เสียสละมากที่สุด จนสมควรได้รับการเชิดชูเป็นนักบุญ

ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Morton เริ่มอาชีพทันตแพทย์ เขาได้พบว่าเวลาแพทย์จะผ่าตัดคนไข้ แพทย์จะใช้วิธีมอมเหล้าคนไข้ เช่น ให้ดื่มวิสกี้ จิน หรือเหล้า จนคนไข้หมดสติ แล้วจึงลงมือผ่าตัด ดังนั้นห้องผ่าตัดสมัยนั้นจึงมีขวดเหล้าวางเรียงรายให้คนไข้ดื่มเพื่อให้หมดสติ และให้แพทย์ดื่มเพื่อย้อมใจตนเองก่อนลงมือผ่าตัด

ตามปกติคนไข้ทุกคนรู้ดีว่า ความเจ็บปวดในการผ่าตัดจะสาหัสรุนแรงเพียงใดขึ้นกับความชำนาญของแพทย์ ระยะเวลาที่ใช้ในการผ่าตัดและความยากง่ายของการผ่าตัด ในสมัยนั้นถ้าแพทย์ใช้เวลาผ่าตัดนานเกิน 20 นาทีคนไข้มักจะเสียชีวิต ถ้าการผ่าตัดยังไม่ลุล่วง และคนไข้ยังมีสติอยู่บ้าง ห้องผ่าตัดขณะนั้นจะกลายสภาพเป็นห้องทารุณ เพราะคนไข้จะส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา ด้วยเหตุนี้ห้องผ่าตัดจึงถูกจัดให้อยู่แยกออกไปจากโรงพยาบาล เพื่อเสียงหวีด เสียงร้องไห้และเสียงครวญครางของคนไข้จะไม่รบกวนหรือกระทบกระเทือนจิตใจคนไข้คนอื่นๆ เมื่อความทารุณมีจริง ดังนั้น คนไข้ทุกคนจึงมีความรู้สึกว่าเวลาเข้าห้องผ่าตัด ตนเสมือนกำลังเดินสู่ตะแลงแกง และแพทย์คือ เพชฌฆาตที่ทำหน้าที่ฆ่าคน

เมื่อแพทย์เองก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการหายาสลบมาใช้ในการผ่าตัด ดังนั้นเมื่อมีทันตแพทย์คนหนึ่งอ้างว่าได้พบยาสลบที่เป็นของเหลว ซึ่งเวลาเทใส่ผ้าเช็ดหน้า แล้วนำไปประกบที่จมูก คนๆ นั้นจะหมดสติในเวลาไม่นาน บรรดาแพทย์จึงทำใจยอมรับความยิ่งใหญ่ในการค้นพบของทันตแพทย์คนนั้นไม่ได้

W.T. Morton เกิดเมื่อปี ค.ศ.1819 (ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ที่เมือง Charlton City ซึ่งอยู่ใกล้ Boston ในรัฐ Massachusetts ประเทศสหรัฐอเมริกา บิดาเป็นชาวนาที่มีฐานะยากจน ในวัยเด็ก Morton เคยตั้งใจจะเป็นแพทย์ แต่ฐานะที่ไม่ดีของบิดาทำให้ฝันของ Morton ไม่เป็นจริง เมื่อเติบใหญ่ Morton จึงหันไปทำธุรกิจขายอุปกรณ์โลหะ แต่ประสบความล้มเหลว จึงต้องหางานใหม่ โดยไปฝึกงานและเรียนงานด้านทันตกรรมกับทันตแพทย์ที่เมือง Boston เป็นเวลา 18 เดือน

ในสมัยนั้นคนที่ต้องการจะเป็นทันตแพทย์ไม่จำเป็นต้องเข้าศึกษาในโรงเรียนทันตแพทย์เหมือนในสมัยนี้ เพียงแต่ไปใช้ระยะเวลาหนึ่งฝึกงานกับทันตแพทย์ ก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นหมอฟันแล้ว และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้แพทย์ส่วนใหญ่คิดว่า อาชีพหมอฟันเป็นงานอาชีพง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องไม่น่าประหลาดใจเลยที่แพทย์บางคนหารายได้เสริมด้วยการถอนฟัน
อุปกรณืสำหรับสูดดมยาสลบของ William Thomas Morton
เมื่อสิ้นสุดการฝึกงาน Morton ได้ไปเปิดร้านทันตกรรมที่ Boston และคิดจะแต่งงานกับ Elizabeth Whitman ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 18 ปี หลังจากที่ได้เห็นเธอเพียง 5 นาที แต่บิดาของ Whitman มีความเห็นว่า Morton ยังมีฐานะยากจนจึงยังไม่ยกลูกสาวให้ ครั้นเมื่อ Morton ให้คำมั่นสัญญาว่าในอนาคตเขาจะสร้างตัว จนมีฐานะดี ว่าที่พ่อตาจึงอนุญาต แต่ก็ภายใต้เงื่อนไขว่า Morton จะต้องร่ำรวยก่อน จึงจะยกลูกสาวให้ เมื่อรับทราบเงื่อนไขนี้ Morton จึงรีบหาเงิน

ธุรกิจทันตกรรมของทันตแพทย์ในสมัยนั้นมีการแข่งขันกันสูงคือหาทั้งคนไข้ และเงิน ทันตแพทย์บางคนใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อ บางคนจัดงานโชว์ในที่สาธารณะเพื่อให้ประชาชนรู้จักและเข้าร้านถอนฟันของตน และในการถอนฟันทุกครั้ง ถ้าทันตแพทย์ไม่ให้คนไข้ดื่มแอลกอฮอล์จนมึน การถอนฟันจะทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บปวดมาก แต่ถ้าให้ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป คนไข้หลายคนอาจอาเจียนเพราะแพ้เหล้า เมื่อทางเลือกเป็นเช่นนี้คนปวดฟันหลายคนจึงตัดสินใจยอมตายให้ศพมีฟันเน่าคาปาก ดีกว่าไปหาหมอฟัน หรือในกรณีที่เหงือกคนไข้อักเสบมาก หลายคนมีกลิ่นปากรุนแรง (halitosis) เพราะคิดว่าก็ยังดีกว่าไปให้หมอฟันจัดการ Morton ได้เคยทดลองใช้แชมเปญ และวิสกี้ช่วยในการถอนฟันด้วย แต่ไม่ได้ผล จึงหันไปใช้วิธีสะกดจิตซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในสมัยนั้น แต่ก็ไม่ได้ผลอีกเช่นกัน

ปณิธานของ Morton คือต้องการถอนฟันโดยไม่ให้คนไข้รู้สึกเจ็บเลย ซึ่งถ้าพบกรรมวิธีนั้นเขาก็จะขายลิขสิทธิ์ของวิธี และจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ในเบื้องต้น Morton ได้ทดลองใช้ทิงเจอร์ฝิ่น (laudanum) ซึ่งมีผลทำให้คนไข้บางคนมีอาการแพ้มาก จนเพื่อนทันตแพทย์ตั้งข้อกล่าวหาว่า เขาเป็นหมอเพี้ยน หลังจากนั้นก็คิดใช้ nitrous oxide ซึ่งเป็นแก๊สที่มีขายในร้านขายยาแทบทุกร้าน สำหรับให้คนซื้อไปใช้เล่นมายากล เพราะแพทย์ได้พบว่าเวลาใครหายใจแก๊สนี้เข้าปอด คนๆ นั้นจะวิงเวียนศีรษะ

Morton มีเพื่อนทันตแพทย์คนหนึ่งชื่อ Horace Wells ที่ Boston ซึ่งเคยทดลองให้คนไข้สูดแก๊ส nitrous oxide เข้าปอด และพบว่า เวลาถอนฟันคนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย Wells จึงนำการทดลองที่ใช้ nitrous oxide นี้ไปสาธิตที่ Massachusetts General Hospital ให้นิสิตแพทย์ดู แต่ในวันทดลอง แก๊ส nitrous oxide ที่ใช้มีปริมาณไม่เพียงพอ ดังนั้นคนไข้จึงยังมีสติอยู่ ขณะที่ฟันกำลังถูกถอนออก เมื่อเจ็บมากคนไข้คนนั้นจึงกระโดดจากเก้าอี้ถอนฟัน และตะโกนร้องอย่างเจ็บปวด เหตุการณ์นี้ทำให้บรรดานักศึกษาและทันตแพทย์ก่นด่า Wells จนเขารู้สึกอับอายมาก จึงตัดสินใจเลิกอาชีพทันตแพทย์ ไปใช้ชีวิตเงียบๆ ที่เมือง Hartford แล้วดื่มสุราจนหัวราน้ำ ในที่สุดก็ได้ฆ่าตัวตายเมื่อมีอายุเพียง 33 ปี

ณ ช่วงเวลาเดียวกันนั้น Morton ได้มุ่งหน้าเรียนแพทย์ที่ Harvard Medical School เพราะต้องการมีความรู้ด้านแพทย์ศาสตร์เพิ่มเติม เมื่อรู้ข่าวการทดลองของ Wells ในปี 1844 จึงตรึกตรองทบทวนเหตุการณ์จนรู้ข้อผิดพลาดต่างๆ ของเพื่อน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1846 เมื่อ Morton ได้อ่านตำราชื่อ Materia Medica ซึ่งเรียบเรียงโดย Pereira และพบว่า ether ที่แพทย์ใช้เป็นยารักษาโรคหืดนั้น ถ้าให้คนไข้สูดดมมาก จะทำให้รู้สึกมึน จึงคิดจะทดลองใช้บ้าง แต่ก็รู้ว่าต้องกระทำอย่างระมัดระวังมาก ครั้นเมื่อผู้ช่วยของ Morton ชื่อ William Leawitt ยืนยันว่า หลังจากที่ได้สูดดม ether แล้วเขารู้สึกมึนจริง Morton ก็ยิ่งมั่นใจ

Morton จึงทดลองให้สุนัขเลี้ยงของตนที่ชื่อ Nig สูดหายใจ ether ก่อน และพบว่าภายในเวลาเพียง 3 วินาที สุนัขก็หลับสนิท แต่ยังมีชีวิตอยู่ จากนั้น Morton ก็ทดลองใช้ตัวเองเป็นหนูตะเภา และรู้สึกมึนนานเป็นชั่วโมง

ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ.1846 มีครูสอนดนตรีชื่อ Eben Frost มาหา Morton เพื่อให้ถอนฟันกราม Morton จึงให้ Frost สูดดมอีเทอร์ แล้วถอนฟันให้จนเป็นที่เรียบร้อย เมื่อ Frost คืนสติ Morton ได้เอ่ยถามว่า “พร้อมจะให้ถอนฟันหรือยัง” Frost ตอบว่า “พร้อม” และ Morton ก็ได้แจ้งให้ทราบว่า ทุกอย่างลุล่วงไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่ Frost ไม่รู้สึกเจ็บเลย เมื่อความสำเร็จปรากฏ Morton ก็มีชื่อเสียง และได้พัฒนาอุปกรณ์ควบคุมการปล่อย ether จนเครื่องมือมีประสิทธิภาพเป็นที่ไว้ใจได้ว่า สามารถทำงานทุกครั้งได้อย่างไม่ผิดพลาด คือให้ ether ในปริมาณที่ทำให้คนไข้หมดสติสัมปชัญญะพอดี หลังจากนั้น Morton ก็ได้ติดต่อโรงพยาบาล Massachusetts General Hospital ว่าจะสาธิตการใช้อีเทอร์เป็นยาสลบให้บรรดานิสิตแพทย์และแพทย์ดู

ในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1848 ที่โรงพยาบาลมีคนไข้เป็นช่างทาสีวัย 20 ปีชื่อ Gilbert Abbott ซึ่งมีเนื้องอกที่คอ Morton จึงจัดงานสาธิตการผ่าตัดเนื้องอกของ Abbott ที่โรงพยาบาลโดยใช้อีเทอร์ ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ให้ผลดี จนบรรดาแพทย์ที่เฝ้าดูการสาธิตต่างก็รู้สึกประทับใจมาก และนับตั้งแต่นั้นมา nitrous oxide ก็เริ่มลดบทบาทในการเป็นยาสลบ แต่ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญในงานปาร์ตี
ภาพเหมือน William Thomas Morton
แต่เมื่อข่าวการใช้อีเทอร์เป็นยาสลบปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ แพทย์ในโรงพยาบาลอีกหลายแห่งต่างปฏิเสธไม่ยอมรับว่าอีเทอร์สามารถใช้เป็นยาสลบได้ โดยอ้างความปลอดภัยว่าอาจทำให้คนสูดหายใจเสียสติจนเป็นบ้าได้ และการที่ Abbott ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยนั้น คงเพราะถูกสะกดจิตอย่างรุนแรง บางคนยังอ้างอีกว่าถ้าการถอนฟันสามารถทำไปโดยคนไข้ไม่รู้สึกเจ็บเลย ต่อไปนี้การตัดขาโดยคนไข้ไม่รู้สึกเจ็บก็คงทำได้เช่นกัน บางคนไม่เห็นด้วยกับการใช้ยาสลบโดยอ้างเหตุผลความเชื่อทางศาสนาว่า ความเจ็บปวดเป็นเรื่องปกติของคนและความไม่สบายเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงบันดาลด้วยพระองค์เอง ดังนั้นความพยายามใดๆ ที่จะกำจัดความเจ็บปวด จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า

นอกจากเหตุผลเหล่านี้แล้ว ความอิจฉาริษยาของแพทย์ในวงการก็มีส่วนในการสร้างกระแสต่อต้านอีเทอร์ด้วย เพราะขณะนั้น Morton มีอายุเพียง 27 ปี จึงนับว่าค่อนข้าง “ไร้เดียงสา” และ “อ่อนหัด” มาก อีกทั้งเป็นเพียงทันตแพทย์ฝึกหัดที่สังคมถือว่าด้อยสติปัญญากว่าแพทย์ จึงไม่น่าจะพบอะไรที่มีคุณค่าได้ ก็ในเมื่อแพทย์เองที่ได้ร่ำเรียนวิทยายุทธมาตลอดชีวิต ยังหายาสลบมาใช้ไม่ได้ สำมะหากับคนที่ฝึกงานถอนฟันนานเพียง 18 เดือน จะพบอะไรดีๆ

วงการทันตแพทย์เองก็มีความอิจฉาริษยาเหมือนวงการแพทย์ จึงไม่ได้แสดงความชื่นชมใดๆ ในความสำเร็จของ Morton และบางคนได้เสนอแนะว่า Morton น่าจะใช้วิสกี้หรือบรั่นดี เพราะจะให้ผลดีกว่าอีเทอร์ เพราะใครๆ ก็รู้ดีว่า ถ้าให้เลือกระหว่างดื่มเหล้ากับสูดอีเทอร์เข้าปอด คนไข้ส่วนใหญ่จะเลือกดื่มเหล้า

นอกจากเหตุผลเหล่านี้แล้ว แพทย์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคใต้ของอเมริกาก็อ้างว่า อีเทอร์เป็นผลงานการค้นพบของแพทย์ที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ดังนั้นจึงเป็นยาของฝ่ายศัตรูที่ไม่สมควรใช้

Morton เองก็มีส่วนไม่น้อยในการทำให้สังคมมีปฏิกริยาต่อต้านอีเทอร์ เพราะได้ประกาศว่ามีความต้องการเงินมาก ดังนั้นเมื่อได้พบว่า อีเทอร์มีสมรรถภาพในการใช้เป็นยาสลบ จึงคิดจะจดทะเบียนสิทธิบัตร และได้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยความลับว่าใช้ อีเทอร์ นอกจากนี้ยังได้ปกปิดความลับนี้ด้วยการเรียกชื่ออีเทอร์ใหม่ว่า “Letheon” และปนน้ำหอมในอีเทอร์เพื่อกลบกลิ่นไม่ให้ใครรู้

บรรดาแพทย์แห่ง Massachusetts Medical Society จึงตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรงต่อ Morton ว่าเป็นคนงก และประพฤติผิดจริยธรรมในการหาเงินจากการขายยาสลบ เพราะยาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ ครั้นเมื่อ Morton เปิดเผยว่าเขาใช้อีเทอร์ เขาก็สูญเสียรายได้จากการจดสิทธิบัตรทันที

การถูกกล่าวหาและถูกบริภาษเหล่านี้ยังไม่รุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับการกระทำของเพื่อนของ Morton ที่เป็นแพทย์ชื่อ Charles Jackson ซึ่งได้อ้างว่า เขาคือ คนที่แนะนำ Morton ให้ใช้อีเทอร์เป็นยาสลบ ดังนั้น Jackson จึงฟ้องขอส่วนแบ่งของเงินรายได้ คดีความนี้ได้ยืดเยื้อนานถึง 8 ปี ทำให้ Morton ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะถูก Jackson ปรักปรำด้วยข้อหาต่างๆ นานา จนในที่สุดธุรกิจของ Morton ก็ล้มละลาย ครั้นเมื่อเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ชาวอเมริกันได้หันไปสนใจข่าวสงครามกลางเมือง และการฟื้นฟูบูรณะประเทศ การโจมตีใส่ไคล้กันระหว่าง Jackson กับ Morton จึงเริ่มเลือนหายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ และในช่วงเวลานั้นเองยาสลบของ Morton ก็ถูกนำไปใช้ในการผ่าตัดบาดแผลของทหารในสงคราม

หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะขัดสนเงินทอง และถูกปฏิเสธความยิ่งใหญ่ว่าได้พบอีเทอร์เป็นยาสลบ และถูก Jackson โจมตีอย่างรุนแรง Morton ได้ล้มป่วย และเสียชีวิตลง ด้วยโรคเส้นเลือดแตกในสมอง เมื่ออายุ 48 ปี ส่วน Jackson นั้นในอดีตได้เคยฟ้องร้องต่อศาลโดยอ้างว่าตน คือคนที่ประดิษฐ์เครื่องส่งโทรเลขได้มิใช่ Samuel F.B. Morse ในที่สุดเมื่อแพ้คดี ได้ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลโรคจิต

จึงเป็นว่าโลกสุขภาพเมื่อก่อนวันที่ 16 ตุลาคม 1846 ไม่มีใครรู้ว่า การผ่าตัดโดยที่คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ จนกระทั่ง Morton คือบุคคลแรกที่ใช้อีเทอร์เป็นยาสลบในการทำทันตกรรม ทุกวันนี้อีเทอร์ที่ Morton เคยคิดจะจดสิทธิบัตรเพื่อหาเงินนั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่แพทย์ทุกคนสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิใดๆ

ในส่วนของผลตอบแทนที่เขาได้รับจากการค้นพบของเขาเอง คือ เมื่อ Morton เป็นลมหมดสติขณะนั่งรถม้าใน Central Park ภรรยา Elizabeth ได้นำสามีของเธอไปที่โรงพยาบาล St.Luke เพื่อส่งแผนกผู้ป่วยฉุกเฉิน
แพทย์เวรได้เข้ามาดูอาการและ Elizabeth ได้บอกแพทย์คนนั้นว่า “This is Dr. Morton”
แพทย์เวรจึงตอบว่า “Yes” แล้วหันไปบอกนิสิตแพทย์ที่เข้ามาห้อมล้อมที่เตียงว่า “นิสิตทั้งหลาย คนที่นอนอยู่เบื้องหน้าพวกเราคนนี้ คือ บุคคลแรกที่ทำให้มนุษย์ไม่ต้องทนทุกข์เนื่องจากความเจ็บปวดอีกต่อไป”
ที่หลุมฝังศพของ Morton ก็มีคำจารึกง่ายๆ เพียงว่า
WILLIAM T.G. MORTON
นักวิทยาศาสตร์ผู้พบว่าการสูดดมยาสลบทำให้การผ่าตัดไร้ความเจ็บปวด และเป็นคนที่ทำให้โลกรู้ว่า วิทยาศาสตร์สามารถกำจัดความเจ็บปวดได้

ดังนั้นจากความเชื่อเดิมๆ ที่ว่าคนที่จะเป็นศัลยแพทย์ต้องเป็นคนที่มีหัวใจเข้มแข็ง และมีมือที่นิ่มนวล เพราะหัวใจต้องไม่ย่อท้อต่อเสียงโอดโอยของคนไข้ที่ถูกผ่าตัด และมือที่นิ่มนวลก็เพื่อให้การเย็บแผลดำเนินไปด้วยความชำนาญและรวดเร็ว คุณสมบัติทั้งสองนี้ไม่มีความจำเป็นที่แพทย์จะต้องมีอีกต่อไป หลังการค้นพบของ Morton

อ่านเพิ่มเติมจาก “Ether Day: The Strange Tall of American’s Greatest Medical Discovery and the Haunted Men who Made it. โดย J.M. Fenster จัดพิมพ์โดย Harper Collins, New York (2001)

เกี่ยวกับผู้เขียน

สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน- ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์
ประวัติการศึกษา - ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์







กำลังโหลดความคิดเห็น