ฟอสซิลตัวเท่าหนูที่พบกำเนิดในจีนอายุ 55 ล้านปี นับเป็นสัตว์ในสายวิวัฒนาการเดียวกับคนที่เก่าแก่ที่สุด
นักวิทยาศาสตร์เรียกสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ดังกล่าวว่า “อาร์คิเซบัส” (Archicebus) ซึ่งแปลได้คร่าวๆ คือ “ลิงโบราณ” โดยบีบีซีนิวส์ได้อ้างรายลเอียดที่ทีมวิจัยระบุในวารสาร “เนเจอร์” (Nature) ว่า โครงกระดูกของลิงดังกล่าว ได้เพิ่มสัตว์ชนิดใหม่ในยุคต้นๆ ของสายวิวัฒนาการสัตว์ไพรเมท
อาร์คิเชซบัสถูกจัดอยู่ลำดับต้นๆ ของสายวิวัฒนาการเดียวกับลิงทาร์เซียร์ส (tarsiers) ลิงขนาดเล็กที่พบได้เฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นสัตว์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกับคน ลิงและเอป ซึ่งถูกจัดไว้เช่นนั้นเนื่องจากอายุที่เก่ามากและมีลักษณะแบบดั้งเดิม และอาจเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าสัตว์แอนโธรพอยด์ (anthropoid) หรือสัตว์จำพวกลิงเหล่านี้อาศัยอยู่ตามต้นไม้ที่ปกคลุมแถบศูนย์สูตรหลังการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ได้ไม่นาน
ดร.สี่จวิ้น หนี (Dr.Xijun Ni) จากสภาวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Sciences) ในปักกิ่ง กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ต่างสงสัยเกี่ยวกับบรรพบุรุษของไพรเมท รวมถึงมนุษย์ และด้วยโครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์นี้ ทำให้เราพอจะสรุปได้ว่า บรรพบุรุษของเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก ส่วนลิงไพรเมทที่เพิ่งค้นพบนี้น่าจะเป็นสัตว์ที่ตื่นตัวและคล่องแคล่วมาก และอาศัยอยู่บนต้นไม้โดยกินแมลงเป็นอาหาร
สำหรับฟอสซิลของอาร์คิเซมัสนั้นถูกสภาพทางธรณีของแผ่นหิน 2 แผ่น เก็บรักษาไว้ ซึ่งกระดูกส่วนสำคัญ รวมถึงแขนขาที่น่าประทับใจก็ยังอยู่ครบ ซึ่งตัวอย่างของไพรเมทเก่าแก่ที่สุดนี้ถูกพบในเมืองจิงโจว (Jingzhou) ของมณฑลหูเป่ย (Hubei) เมื่อประมาณ 10 มาแล้ว โดยชาวไร่ในพื้นที่ แต่ ศ.หนีและคณะต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรในการศึกษาสัตว์ชนิดนี้ และประเมินถึงความสำคัญของไพรเมทดังกล่าว
ทีมวิจัยได้ส่งชิ้นส่วนของฟอสซิลไพรเมทนี้ไปวิเคราะห์ข้อมูลที่ศูนย์เครื่องมือฉายรังสีซินโครตรอนยุโรป (European Synchrotron Radiation Facility) หรือศูนย์อีเอสอาร์เอฟ (ESRF) ในฝรั่งเศส ซึ่งเครื่องมือขนาดมหึมาได้ฉายรังสีเอ็กซ์เพื่อเผยรายละเอียดที่ยังไม่ชัดเจนของกระดูกที่มีบางส่วนถูกซ่อนอยู่ในหิน
ด้าน ดร.พอล ทัฟฟอโร (Dr.Paul Tafforeau) จากศูนย์ซินโครตรอนอีเอสอาร์เอฟดังกล่าว ระบุว่า ไม่มีทางที่เราจะเตรียมฟอสซิลด้วยวิธีอื่น เพื่อหารายละเอียดของฟอสซิลนี้ เนื่องจากฟอสซิลค่อนข้างเปรอะบางมาก สุดท้ายเราอาจจะได้ชิ้นส่วนที่แตกละเอียดแทน แต่การสแกนด้วยแสงซินโครตรอนทำให้เราสกัดเอาภาพของกระดูกออกจากหินได้โดยที่ไม่แตะต้องกับตัวอย่างดังกล่าวได้ ซึ่งทำให้เราเข้าถึงข้อมูลกายวิภาคพื้นฐานของลิงไพรเมทตัวนี้ อีกทั้งยังให้ภาพละเอียดสูงได้
จากการศึกษาทางนิติวิทยาศาสตร์ทำให้นักวิทยาศาสตร์สร้างภาพของอาร์คิเซบัสเมื่อครั้งมีชีวิตขึ้นมาได้ และใช้เทียบความสัมพันธ์กับสัตว์ไพรเมทชนิดอื่นๆ ซึ่งลิงโบราณที่ยาวเพียง 71 มิลลิเมตร และน่าจะหนักเพียง 20-30 กรัมนี้ ทำให้เราได้แนวคิดว่า ไพรเมทตัวแรกๆ ของโลกนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร
ด้าน ดร.เฮนรี จี (Dr.Henry Gee) บรรณาธิการอาวุโสของเนเจอร์ให้ความเห็นว่า อาร์คิเซบัสนี้น่าจะอุบัติขึ้นในช่วงที่โลกเข้าสู่ภาวะโลกร้อน ซึ่งเมื่อ 55 ล้านปีก่อนนั้นทั้งโลกเต็มไปด้วยป่ารกทึบ และถูกปกคลุมไปด้วยป่าเขตร้อน และต้นไม้ก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ปีนป่าย เป็นช่วงเวลาแห่งฝันสำหรับสัตว์ไพรเมทได้วิวัฒนาการ
ด้วยลักษณะเฉพาะของกระดูกอาร์คิเซบัสชี้ว่า ไพรเมทโบราณนี้ต้องใช้การเคลื่อนไหวแบบกระโดดและห้อยโหนไปตามต้นไม้ในป่าใหญ่ และลักษณะฟังชี้ว่าอาหารที่กินคือแมลง ส่วนขนาดก็บอกถึงการเผาพลาญอาหารในร่างกายด้วยอัตราสูง ซึ่งการจับแมลงกินก็ตอบสนองความต้องการพลังงานสูงได้ นอกจากนี้ยังมีเบ้าตาที่ใหญ่ บ่งชี้ถึงสายตาที่แหลมคมในการล่าแมลง แต่ก็เป็นหลักฐานที่บ่งว่าพวกมันเป็นสัตว์หากินกลางวัน ไม่ใช่กลางคืน
อีกหนึ่งข้อมูลที่สำคัญคือ ลักษณะส้นของพวกมันต่างกันมากกับกระดูกส้นเท้าของลิงทาร์เซียร์ส ซึ่งกระดูกดังกล่าวชวนให้นึกถึงลักษณะส้นเท้าของแอนโธรพอยด์ โดย ดร.คริส เบียร์ด (Dr.Chris Beard) จากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาคาร์เนกี (Carnegie Museum of Natural History) ในพิตต์สเบิร์ก สหรัฐฯ กล่าวว่า ส้นเท้าของฟอสซิลดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องตะลึงเมื่อแรกเห็น เพราะดูคล้ายลิงขนาดเล็กโดยเฉพาะลิงมาร์โมเสตอย่างมาก
ดร.เบียร์ด กล่าวว่า ลักษณะดังกล่าวเน้นย้ำว่า อาร์คิเซบัสมีความใกล้ชิดกับสิ่งมีชีวิตใน 2 สายวิวัฒนาการ โดยมีทั้งลักษณะร่วมระหว่างแอนโธรพอยด์และลิงทาร์เซียร์ส ซึ่งบางลักษณะคล้ายลิงทาร์เซียร์มากกว่า แต่บางลักษณะก็คล้ายแอนโธรพอยด์มากกว่า