พร้อมให้บริการ "เตาเผาขยะเคลื่อนที่” หลังน้ำท่วม ฟรี!

สนช.- สำนักงานนวัตกรรมร่วมกับหน่วยงานเอกชนสนับสนุนสร้าง "โมบายล์เบิร์น" เตาเผาขยะเคลื่อนที่เครื่องแรกของไทย พร้อมผุดโครงการจิตอาสาช่วยกำจัดขยะหลังน้ำท่วม โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายนาน 3 เดือน

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. ร่วมกับบริษัท เชียงใหม่ เอ็นไวรอนเม้นท์ โปรเทค จำกัด และบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) เปิดตัว “Mobile Burn - เตาเผาขยะระบบแก๊สซิฟิเคชั่นแบบเคลื่อนที่” พร้อมด้วย โครงการ “จิตอาสา ช่วยกำจัดขยะชุมชนเขตปริมณฑล ฟื้นฟูหลังน้ำท่วม” ซึ่งโครงการดังกล่าวถือว่าเป็นผลงานนวัตกรรมระดับประเทศในการผลิตเตาเผาขยะขนาดเล็กแบบเคลื่อนที่ด้วยเทคโนโลยีการเผาไหม้แบบแก๊สซิฟิเคชั่น (gasification) ทดแทนกระบวนการเผาไหม้โดยตรงแบบเดิม

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ขยะ” นับเป็นปัญหาที่ส่งกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของคุณภาพชีวิตของชุมชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในชุมชนเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยประสบกับมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ไม่เว้นแม้แต่ในกรุงเทพ และปริมณฑล จึงทำให้ “ขยะ” กลายเป็นปัญหาใหญ่ทวีคูณ ที่จำเป็นต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และเร่งด่วน เนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วม “ขยะ” จึงมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาปกติหลายเท่าตัว

"สนช. จึงได้ริเริ่มและสนับสนุนเงินทุนจำนวน 1 ล้านบาท ภายใต้โครงการ “แปลงเทคโนโลยีเป็นทุน” ให้บริษัท เชียงใหม่ เอ็นไวรอนเม้นท์ โปรเทค จำกัด ในการพัฒนา “โมบายเบิร์น" (Mobile Burn) เตาะเผาขยะระบบแก๊สซิฟิเคชั่นแบบเคลื่อนที่ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมเตาเผาขยะขนาดเล็กแบบเคลื่อนที่ สำหรับเคลื่อนย้ายเข้าไปช่วยกำจัดขยะหลังน้ำท่วมภายในชุมชนต่างๆ โดยมีบริษัทล็อกซเล่ย์ เป็นผู้รับประสานงานในการให้บริการนำเตาเผาขยะดังกล่าวนี้ไปช่วยเหลือในชุมชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นจากขยะแล้ว ยังลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการขนย้ายขยะไปยังบ่อฝังกลบ ส่งผลให้การจัดการกับขยะหลังช่วงวิกฤตน้ำท่วมเป็นไปได้อย่างมีระบบ และเต็มประสิทธิภาพ” นายศุภชัยกล่าว

ทางด้าน นายนพดล โปธิตา กรรมการผู้จัดการ เชียงใหม่ เอ็นไวรอนเม้นท์ โปรเทค กล่าวถึงการลงทุนในการต่อยอดโครงการดังกล่าวนี้ว่า บริษัทได้รับทุนสนับสนุนจาก สนช. ในการพัฒนาต้นแบบเตาเผาขยะสำหรับชุมชนขนาดเล็กด้วยเทคโนโลยีแก๊สซิฟิเคชั่นจนประสบความสำเร็จ ต่อมาเมื่อเกิดวิกฤตน้ำท่วมในหลายจังหวัด ซึ่งทำให้เกิดปัญหาขยะล้นเมืองจากอุปสรรคในการเข้าไปจัดเก็บเพื่อนำไปกำจัด บริษัทจึงได้เร่งต่อยอดเตาเผาขยะเพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ เข้าไปถึงแหล่งชุมชนได้สะดวก จึงได้ทดลองนำไปติดตั้งบนรถเทลเลอร์ พร้อมทั้งออกแบบเพิ่มเติมในส่วนระบบการเผาไหม้ที่สามารถรองรับขยะที่เปียกหรือชื้นมากกว่าปกติ และเพิ่มระบบบำบัดมลพิษที่กระทัดรัดมากขึ้น

"ในที่สุดต้นแบบเตาะเผาขยะระบบแก๊สซิฟิเคชั่นแบบเคลื่อนที่ ที่คิดค้นพัฒนามากกว่า 3 ปี ก็เสร็จสมบูรณ์ในปี 2554 นี้ ด้วยขีดความสามารถในการเผากำจัดขยะได้ในปริมาณ 300-500 กิโลกรัมต่อชั่วโมง หรือประมาณ 3 ตันต่อวัน นอกจากจะได้รับเงินทุนในการพัฒนาต้นแบบแล้ว สนช. ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับโครงการดังกล่าว ทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานราชการต่างๆ และชุมชน ซึ่งขณะนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการผลิต “โมบายเบิร์น” จำนวน 10 เครื่อง ที่พร้อมจะนำไปร่วมโครงการจิตอาสา ให้บริการกำจัดขยะชุมชนเขตปริมณฑลฟรี หากชุมชนใดสนใจก็สามารถติดต่อผ่านบริษัท ล็อกซเล่ย์ เพื่อดำเนินการประสานงานช่วยเหลือต่อไป” นายนพดลกล่าว

ส่วน นายอนุสรณ์ ฤทัยยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ล็อกซเล่ย์ เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักถึงปัญหาขยะที่เกิดขึ้นในช่วยวิกฤตน้ำท่วมเช่นเดียวกับ สนช. และเชียงใหม่ เอ็นไวรอนเม้นท์ โปรเทค ทั้งสามฝ่ายจึงเห็นพ้อ0งตรงกันว่าควรนำ “โมบายเบิร์น” เตาเผาขยะระบบแก๊สซิฟิเคชั่นแบบเคลื่อนที่นี้ เข้าไปให้บริการแก่ชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อน และนี่จึงเป็นที่มาของโครงการ “จิตอาสา ช่วยกำจัดขยะชุมชนเขตปริมณฑล ฟื้นฟูหลังน้ำท่วม” โดยบริษัท ล็อกซเล่ย์ฯ จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานงานจัดส่งรถโมบายเบิร์น ไปช่วยกำจัดขยะให้กับชุมชนในเขตพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ อยุธยา ฯลฯ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นระยะเวลา 3 เดือนนับจากวันนี้

"บริษัทคาดว่าจะสามารถช่วยลดปัญหาขยะล้นเมืองที่ประสบอยู่ในขณะนี้ให้หมดไปได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ บริษัทจะขอความร่วมมือให้องค์การบริหารส่วนตำบล ของชุมชนที่ต้องการใช้บริการรถโมบายเบิร์นนี้ ในการดำเนินการการคัดแยกขยะก่อน เนื่องจากขยะบางประเภทไม่สามารถเผาได้ เช่น ขวดแก้ว เศษโลหะ และแบตเตอรี่ เป็นต้น จากนั้นจึงนำขยะที่ต้องการเผามากองไว้ในบริเวณที่รถโมบายเบิร์นสามารถไปจอดได้ ซึ่งหาก อบต. ของชุมชนใดสนใจจะใช้บริการ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านคอลเซ็นเตอร์ โทรศัพท์ 089-371-9555 ระหว่าง 9.00 - 15.00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์”นายอนุสรณ์กล่าว