นักวิทยาศาสตร์นาซาเคลียร์ความเชื่อ “ดาวนิบิรุ” พุ่งชนโลกดับ กวาดล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์หายเกลี้ยงในปี 2012 ชี้ไม่มีดาวดังกล่าวอยู่ในระบบสุริยะวงนอก คาดจุดเริ่มต้นความเชื่อมาจากหญิงผู้อ้างว่ารับสัญญาณจากเอเลี่ยนมาเตือนผู้คน และเคยทำนายว่าโลกจะพบจุดในปี 2003 แต่กลับไม่เป็นจริง
ความเชื่อเรื่องโลกจะถึงจุดจบเมื่อถูกดาว “นิบิรุ” (Nibiru) พุ่งชนแพร่กระจายอยู่ในโลกออนไลน์มาระยะหนึ่ง กระทั่งสเปซด็อทคอมได้หยิบประเด็นนี้มาไขข้อเท็จจริง โดยได้ความเห็นจาก เดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักดาราศาสตร์ดาวเคราะห์จากศูนย์วิจัยเอมส์ (Ames Research Center) องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และนักวิทยาศาสตร์อาวุโสประจำสถาบันชีววิทยาอวกาศ (Astrobiology Institute) ของนาซา
บ้างว่าโลกจะถูกดาวเคราะห์ดังกล่าวพุ่งชนในปี 2012 บ้างก็บอกว่าในปี 2011 ซึ่งมอร์ริสันประมาณว่ามีเว็บไซต์ที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ราว 2 ล้านเว็บไซต์ ส่วนตัวเขาเองยังได้รับอีเมลที่สอบถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเฉลี่ยถึงวันละ 5 ฉบับ โดยได้รับข้อความจากเด็กๆ ที่บางคนอายุเพียง 11 ขวบ บอกว่าพวกเขากำลังไม่สบายใจและกำลังตัดสินใจฆ่าตัวตาย เนื่องจากวันโลกาวินาศที่กำลังจะมาถึง
แล้วอะไรคือต้นตอของความตระหนกต่อ “ดาวนิบิรุ” ที่นักดาราศาสตร์ทั้งหลายยืนยันว่าไม่มีอยู่จริง? ทางสเปซด็อทคอมระบุว่า แนวคิดเรื่องวันโลกแตกเนื่องจากถูกดาวเคราะห์พุ่งชนนี้น่าจะเสนอขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1995 โดย แนนซี ไลเดอร์ (Nancy Lieder) ที่ขนามนามตัวเองว่า “ผู้รับการติดต่อ” (contactee) ซึ่งอ้างว่าเธอสมองของเธอสามารถรับข้อความของมนุษย์ต่างดาวจากระบบดาวเซตาเรติคูลิ (Zeta Reticuli) ได้
ในเว็บไซต์ของไลเดอร์ชื่อ “เซตาทอล์ก” (ZetaTalk) นั้นได้แถลงว่า เธอคือผู้ถูกเลือกให้มาเตือนมนุษยชาติถึงการพุ่งชนของดาวเคราะห์ที่จะมาถึงในไม่ช้า ซึ่งจะกวาดล้างมนุษย์โลกไปในหมดในปี 2003 แต่สเปซด็อทคอมระบุว่า เมื่อหายนะดังกล่าวไม่เกิดขึ้น สาวกของเธอก็เลือกเอาปี 2012 เป็นกำหนดเวลาที่ดาวนิบิรุจะพุ่งชนโลก และตรงกับคำทำนายอื่นๆ ซึ่งให้ความสำคัญกับการสิ้นสุดของปฏิทินชาวมายา
เดิมทีไลเดอร์เรียกดาวเคราะห์ที่จะนำพาหายนะมายังโลกว่า “ดาวเคราะห์เอ็กซ์” (Planet X)และตอนหลังได้โยงดาวเคราะห์ดังกล่าวเข้ากับดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ในระบบสุริยะ ตามที่ระบุในหนังสือ “ดาวเคราะห์ดวงที่ 12” (The 12th Planet) ของนักเขียนอเมริกันชื่อ เซชาเรีย ซิทชิน (Zecharia Sitchin) ซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฮาร์เปอร์ (Harper) เมื่อปี 1976
ในหนังสือของซิทซินนักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1920-2010 อ้างถึงชาวสุเมเรียนโบราณว่า ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ชื่อ “นิบิรุ” ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ของระบบสุริยะ และเหวี่ยงเข้าใกล้โลกทุก 3,600 ปี ซึ่งแท้จริงแล้วมนุษย์นั้นมีวิวัฒนาการมาจากดาวดวงนี้ และได้มาตั้งถิ่นฐานบนดาวเคราะห์โลกระหว่างที่ผ่านเข้าใกล้โลก
อย่างไรก็ดี ปราชญ์ทางด้านประวัติศาสตร์และภาษากล่าวว่า ซิทชินนั้นได้แปลอักษรโบราณผิดเพี้ยนอย่างมาก โดยชาวสุเมเรียนเชื่อว่ามีดาวเคราะห์เพียง 5 ดวงเท่านั้น ไม่ใช่ 12 ดวง และพวกเขาไม่ได้เชื่อว่ามนุษย์กระโดดจากดาวที่เรียกว่า “นิบิรุ” มาตั้งถิ่นฐานบนโลก ยิ่งกว่านั้นนักดาราศาสตร์ยังได้บ่งชัดว่า วงโคจรดาวเคราะห์ของดาวนิบิรุแบบที่ซิทชินเสนอนั้นไม่มีอยู่จริง ไม่มีวัตถุในอวกาศไหนที่มีวงโคจรซึ่งเหวี่ยงเข้ามายังระบบสุริยะชั้นในทุกๆ 3,600 ปี และยังอยู่ถัดจากดาวพลูโต ซึ่งหากมีจริงดาวเคราะห์ดวงนั้นควรจะถูกดูดเข้ามาหรือไม่ก็ถูกผลักออกไปจากระบบสุริยะ
ถึงอย่างนั้นหนังสือของซิทชินก็แปลออกมาถึง 25 ภาษา และขายได้ทั่วโลกหลายล้านเล่ม และทฤษฎีดาวเคราะห์พุ่งชนโลกของไลเดอร์ก็รับเอาชื่อดาวนิบิรุไปเป็นชื่อดาวเคราะห์ที่จะทำลายล้างโลก หลายคนที่เชื่อว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดปฏิทินชาวมายาในปี 2012 ก็ผูกโยงคำทำนายเรื่องดาวเคราะห์นิบิรุพุ่งชนโลกให้เป็นหายนะที่จะนำพาเราไปพบจุดจบ
สิ่งที่เป็นจุดบอดสำหรับคำพยากรณ์วันโลกาวินาศก็คือดาวเคราะห์นิบิรุเอง เพราะไม่มีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่และมีลักษณะรุกรานโลกอยู่ในระบบสุริยะวงนอกที่จะเป็นดาวนิบิรุตามความเชื่อ ขณะที่นักทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theorist) ได้ตัดสินว่า แท้จริงแล้วดาวหางขนาดเล็กที่ชื่อ “อีเลนิน” (Elenin) ซึ่งจะผ่านใกล้โลกที่สุดในเดือน ต.ค.2011 คือดาวนิบิรุ แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนระบุว่า ดาวหางอีเลนินจะไม่เข้าใกล้โลกเกินกว่าระยะ 100 เท่าของระยะทางระหว่างโลกและดวงจันทร์
“ความจริงคือคนเหล่านี้ได้เปลี่ยนเรื่องราวของชาวสุเมเรียนไปหมด ตัวอย่างเช่น นิบิรุไม่ใช่เทพเจ้าของชาวสุเมเรียนอย่างที่กล่าวอ้าง หรือไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่คาดกันว่าจะโคจรกลับมาใกล้โลกในปลายปี 2012 แต่ชื่อดาวดวงนี้ก็ได้กลายเป็นคำติดปากสำหรับหายนะที่มาจากนอกโลกไปแล้ว” มอร์ริสันแจงแก่สเปซด็อทคอมผ่านอีเมล
ข่าวลือเรื่องดาวหางอีเลนินได้แพร่กระจายเมื่อต้นปีนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์อาวุโสจากนาซากล่าวว่า การที่ดาวหางดวงนี้เข้ามาใกล้โลกได้ถูกกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุให้แกนโลกขยับไป 3 องศาเมื่อเดือน ก.พ. และกระตุ้นให้เกิดแผนดินไหวที่ชิลี จากนั้นทำให้ขั้วโลกขยับมากพอที่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา โดยกลุ่มคนที่เชื่อข่าวลือยังเพิกเฉยต่อต้อเท็จจริงว่าแผ่นเปลือกโลกคือสาเหตุของแผ่นดินไหว และยังบอกอีกว่าดาวหางดังกล่าวส่งแรงโน้มถ่วงและสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารุนแรงมายังโลกของเรา
“เมื่อนักวิทยาศาสตร์ชี้แจงว่า ดาวหางดังกล่าวซึ่งเป็นน้ำแข็งก้อนกลมๆ ที่มีความกว้างประมาณ 5 กิโลเมตรนั้นไม่มีสนามแม่เหล็กและจะไม่ผ่านเข้าใกล้โลกมากนัก อีกทั้งแผ่นเปลือกโลกต่างหากที่เป็นสาเหตุของแผ่นดินไหว ไม่ใช่ ดาวหาง ก็มีข่าวลืออีกว่านาซาปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับดาวหางอีเลนิน กล่าวอย่างประชดนะ สำหรับใครที่มั่นใจว่าดาวหางดวงนี้เป็นสาเหตุของแผ่นดินไหว นั่นแสดงว่าอีเลนินไม่ใช่ดาวหาง แต่เป็นดาวรุกรานที่มีมวลมหาศาลและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง” มอร์ริสันกล่าว
นักทฤษฎีสมคบคิดยังคงคาดเดาต่อไปว่าดาวหางก็คือดาวเคราะห์นิบิรุที่อำพรางมา โดยอาจเป็นดาวเคราะห์หรือดาวแคระน้ำตาลขนาดมหึมา ขณะที่ความจริงนั้นเราสามารถมองเห็น “โคมา” (coma) ที่ปกคลุมนิวเคลียสของดาวหาง รวมถึงนิวเคลียสและหางยาวๆ ที่ระเหิดจากน้ำแข็งของดาวหางอีเลนินได้ ซึ่งหากดาวหางดวงนี้เป็นดาวแคระน้ำตาลอย่างที่กล่าวอ้าง มอร์ริสันกล่าวว่า มันต้องไม่มีโคมาหรือหาง เพราะก๊าซจะไม่สามารถหนีออกจากแรงโน้มถ่วงของดาวได้
ยิ่งกว่านั้นหากดาวหางอีเลนินมีขนาดใหญ่โตมากจริงๆ เราควรจะได้เห็นผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อวงโคจรของดาวเคราะห์โดยเฉพาะดาวอังคารและโลก แต่มอร์ริสันกล่าวว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในวงโคจรของดาวเคราะห์เหล่านั้น และถ้าเป็นดาวแคระน้ำตาลจริงก็ยิ่งง่ายที่จะถูกพบด้วยเทคโนโลยีสำรวจอวกาศต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน แม้ดาวดวงนั้นอยู่ในระบบสุริยะชั้นนอกก็ตาม เขายังบอกไปถึงคนที่กังวลต่อเรื่องนี้ว่า หากเป็นเรื่องจริงควรจะเป็นข่าวในสื่อทั่วไป ไม่ใช่แค่โพสต์ในบางเว็บไซต์
“ไม่ใช่ทุกคนที่กล่าวอ้างในยูทูบ (YouTube) จะเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือทำงานในนาซา แต่เราก็ไม่มีวิธีง่ายๆ ที่จะแยกแยะความจริงออกจากเรื่องเท็จ ผมแปลกใจที่มีคนเชื่อเรื่องดาวนิบิรุซึ่งไร้เหตุผลนี้ เพราะหลายเว็บไซต์ที่เผยแพร่เรื่องนี้ก็ขายทั้งหนังสือและเทปเกี่ยวกับดาวดวงนี้ หรือแม้แต่อุปกรณ์เอาตัวรอดด้วย ซึ่งผมคิดว่าเป็นการหาประโยชน์จากคนที่ไม่สามารถแยกแยะแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือกับคนที่หลอกลวงได้ และนี่เป็นปัญหามากในเยาวชน และเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงโกรธคนเหล่านั้นมากที่เล็งเป้าหมายไปยังเด็กๆ” มอร์ริสันกล่าว