การสร้างเขื่อนผลิตโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ในเมืองไทยจะเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ยังมีพลังน้ำที่ซ่อนอยู่ตามลุ่มน้ำต่างๆ ทั่วประเทศที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 1,500 เมกะวัตต์ ในส่วนของลุ่มน้ำชี-มูนจะมีโครงการนำร่องสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำขนาดเล็ก 2 แห่ง รวม 85 กิโลวัตต์ โดยอาศัยพลังงานจากการปล่อยน้ำที่ไม่เคยนำมาใช้ประโยชน์
จากการศึกษาศักยภาพของลุ่มน้ำชี ในการผลิตไฟฟ้าซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) ของ รศ.ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและการถ่ายทอดเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยขอนแก่น และคณะ เขาได้เผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า ลุ่มน้ำชีมีศักยภาพที่จะเป็นแหล่งไฟฟ้าขนาดเล็กระดับ 5-10 กิโลวัตต์ ได้ 74 โครงการ รวมทั้งสิ้น 23 กิโลวัตต์
ในวิธีการศึกษานั้นประเมินจากข้อมูลการไหลของน้ำ ปริมาณน้ำฝน ความสูงของหัวน้ำจากแหล่งน้ำประเภทเขื่อน ฝาย อ่างเก็บน้ำ เขือนชลประทาน และแหล่งน้ำที่ยังไม่การศึกษาหรือโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ในที่นี้รวมถึงเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ด้วย แล้ววิเคราะห์ศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าที่คาดว่าจะเกิดขึน หากนำพลังงานน้ำนั้นไปปั่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็ก
“ภาพรวมของการศึกษาพบว่าแหล่งน้ำแต่ละประเภทมีศักยภาพที่แตกต่างกันในการผลิตไฟฟ้า หลายแห่งมีการปล่อยน้ำเพื่อการเกษตร แต่ไม่ได้นำพลังน้ำนั้นมาใช้ปั่นกระแสไฟฟ้า ทั้งนี้โครงการจะเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งเราได้เขาไปคุยกับ 4-5 ชุมชน ได้รับการตอบรับที่ดี ชาวบ้าน 80-90% เห็นด้วยกับโครงการ ซึ่งกระแสไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นได้จะนำไปหมุนเวียนใช้ภายในชุมชนนั้น" รศ.ดร.กิตติชัยกล่าว
พร้อมกันนี้ รศ.ดร.กิตติชัยเผยว่าได้เลือก "ลำคันฉู" แหล่งน้ำใน จ.ชัยภูมิ เพื่อนำร่องผลิตกระแสไฟฟ้า 10 กิโลวัตต์ ซึ่งเหตุผลที่เลือกแหล่งน้ำดังกล่าวเป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดเล็ก เนื่องจากมีปริมาณน้ำมาก และไม่ได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ โดยจะต่อท่อจากแหล่งเพื่อให้กระแสน้ำไหลลงไปปั่นกังหันผลิตไฟฟ้าที่อยู่เบื้องล่างของหัวน้ำ และจะปล่อยน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าตามการผันน้ำปกติ
พร้อมกันนี้มีการศึกษาศักยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าในลุ่มน้ำมูนซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก วช.เช่นกัน โดย รศ.ดร.หนึ่ง เตียอำรุง อาจารย์สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เผยถึงศักยภาพของลุ่มน้ำมูนตลอดสายว่ามีศักยภาพผลิตกระแสไฟฟ้ากว่า 16,000 เมกะวัตต์ และมีประมาณ 35 จุดที่มีศักยภาพผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 50 กิโลวัตต์ แต่ได้จุดที่มีศักยภาพสูงสุดที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เป็นต้นแบบในการพัฒนาแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำเล็กต้นแบบ ซึ่งมีศักยภาพถึง 75 กิโลวัตต์
“ได้ลงพื้นทีคุยกับผู้นำชุมชนแล้ว เห็นด้วย 100% ต่อไปจะลงสำรวจพื้นที่จริงเพื่อแบบโรงไฟฟ้า และอาจต้องสอนให้ชุมชนดูแลโรงไฟฟ้า ซึ่งชุมชนอาจต้องช่วยกันลงเงินเพื่อดูแลโรงไฟฟ้าและแสดงความเป็นเจ้าของด้วย ทั้งนี้จะใช้งบประมาณ7-8 ล้านบาท” รศ.ดร.หนึ่งกล่าว
ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ใช้ข้อมูลจีไอเอส (GIS) ในการวิเคราะห์ศักยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าของลำน้ำต่างๆ ในลุ่มน้ำมูน แต่โดยรวมแล้ว รศ.ดร.หนึ่งกล่าวว่าลุ่มน้ำมูนค่อนข้างมีศักยภาพต่ำ เนื่องจากเป็นพื้นที่ราบ ส่วนบริเวณที่มีศักยภาพอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำและเขื่อน รวมถึงบริเวณป่าแต่เป็นจุดที่นำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าไม่ได้
พร้อมกันนี้ ศ.ดร.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนการวิจัย ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้ข้อมูลว่า จากผลการวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ลุ่มน้ำปิง ยม น่าน ชี มูน มีศักยภาพผลิตผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำได้ทั้งจากเขื่อนพลังงานน้ำขนาดเล็กและเขื่อนพลังงานน้ำขนาดเล็กมากไม่ต่ำกว่า 300 เมกะวัตต์ และศักยภาพของลุ่มน้ำทั้งประเทศ 25 ลุ่มน้ำหลักน่าจะมีศักยภาพผลิตไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 1,500 เมกะวัตต์
อีกทั้งยังให้ข้อเสนอแนะว่าส่วนเพิ่มค่ารับซื้อไฟฟ้า (adder) ของไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนขนาดเล็กนั้นควรได้รับการปรับเพิ่ม โดยเมื่อเปรียบเทียบกับไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ราคาเพิ่มถึง 8 บาทต่อหน่วย ขณะที่พลังงานงานจากแหล่งน้ำขนาดเล็กได้เพิ่มเพียง 1.50 บาท ทั้งๆ ที่พลังงานหมุนเวียนทั้งสองชนิดมีข้อดีคล้ายคลึงกันคือ ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังเป็นแหล่งพลังงานที่มั่นคงในประเทศ จึงควรทบทวนราคาเพิ่มที่เหมาะสม