การคำรามของภูเขาไฟ Visuvius ซึ่งสูง 1,280 เมตร เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 622 เวลาบ่ายโมงไม่ได้ทำให้ชาวเมือง Pompeii คนใดตระหนกตกใจ เพราะภูเขาไฟลูกนี้ได้สงบนิ่งมาเป็นเวลานานจนไม่มีใครจำได้ว่ามันระเบิดครั้งสุดท้ายเมื่อใด ดังนั้น เมื่อถึงเวลาค่ำของคืนวันนั้น การระเบิดที่รุนแรงและฉับพลันจึงทำให้ผู้คนกว่า 20,000 คน ที่อาศัยอยู่ในเมือง Pompeii และ Herculaneum ถูกเถ้าภูเขาไฟและลาวาถล่มทับจนมิดทั้งเมืองภายในเวลาเพียงวันเดียว Pliny ผู้อาวุโส เป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกควันภูเขาไฟอุดจมูกจนขาดใจตาย
ส่วนหนุ่ม Pliny ก็ได้เล่าว่า ขณะภูเขาไฟระเบิด ควันภูเขาไฟได้ลอยขึ้นสูง แล้วกระจายออกตามแนวราบ จากนั้นลมจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็พัดนำเขม่า ฝุ่น และก้อนหินมาตกบนหลังคาบ้าน จนอาคารพังพินาศทำให้ผู้อาศัยถูกอบด้วยควันร้อน ลาวาเดือดที่มีอุณหภูมิสูงถึง 400 องศาเซลเชียส ได้เผาคนจนตัวเกรียม บ้างก็ได้พยายามหนีตายโดยการวิ่งไปที่ชายทะเลเพื่อลงเรือหนี แต่ไม่เป็นผล เพราะเถ้าลาวาได้ไหลทันคนเหล่านั้น จนศพถูกหุ้มด้วยลาวาเหลวและกลายสภาพเป็นศพหินให้เห็นกันจนทุกวันนี้
การถูกฝังด้วยลาวาที่หนา 25 เมตร ทำให้เมือง Pompeii และ Herculaneum ถูกโลกลืมอย่างสนิท จนกระทั่งปี 2291 เมื่อวิศวกรท่อระบายน้ำ ได้พบซากบ้านโบราณฝังอยู่เบื้องล่าง และการวิเคราะห์ในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า นั่นคือซากเมือง Pompeii ที่โลกเคยรู้จักเมื่อ 1,670 ปีก่อน
ถึงเวลาจะผ่านไปนานร่วม 260 ปี นับจากวันที่ได้มีการขุดพบซากเมือง Pompeii ก็ตาม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา การขุดและวิเคราะห์หลักฐานอย่างละเอียดก็ยังทำให้ชาวโลกทุกคนตื่นเต้น เพราะข้อมูลที่ได้ทำให้เราวันนี้รู้วิถีชีวิตของชาว Pompeii เมื่อ 2,000 ปีก่อนดีขึ้นเรื่อยๆ ว่า ในสมัยนั้นเมืองนี้เป็นเมืองขนาดกลางที่มีประชากรประมาณ 20,000 คน แม้เมืองจะไม่ได้เป็นที่ประทับของเจ้าชายใดๆ แต่พ่อตาของจักรพรรดิ Julius Caesar ก็มีวิลลาตากอากาศอยู่ที่นี่ และในสมัยนั้น Pompeii เป็นสถานที่จิตรกร ศิลปิน เศรษฐี และทาสนิยมมาพำนักอาศัยเพราะทาสต้องการงานเพื่อจะได้มีเงินไปใช้ ไถ่ตนให้เป็นไท แม้แต่กลาเดียเตอร์ชื่อ Spartacus ก็เคยมาเที่ยวพำนักที่ Pompeii ก่อนเดินทางเข้าโรม
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า สาเหตุที่ทำให้โลกได้มีโอกาสเห็น Pompeii อีก ครั้งหนึ่ง เพราะในช่วงเวลา 100 ปีแรกที่มีการขุดนักโบราณคดีได้เห็นโรงละครของเมืองและได้พบวัตถุประวัติศาสตร์มากมาย รัฐบาลอิตาลีจึงอนุญาตให้ Guiseppe Fiorelli ขุดดินที่ทับถม ประมาณ 600,000 ลูกบาศก์เมตรออก ในปี 2403 การศึกษาโบราณวัตถุที่ขุดได้ ทำให้เรารู้ว่า เมื่อ 800-900 ปีก่อนคริสตกาล เมือง Naples และ Salerno ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ Pompeii เคยเป็นเมืองท่าสำคัญ จึงถูกชาวกรีกและชาวอิตาเลียนผลัดกันยึดครอง แต่เมื่อ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทั้ง Naples และ Pompeii ได้ตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ด้วยเหตุนี้ ตัวเมืองจึงมีศิลปวัตถุสไตล์กรีกตามอาคารสาธารณะ อนุสาวรีย์ โรงละคร อัฒจันทร์ ที่อาบน้ำสาธารณะ ฯลฯ ให้ชาวบ้านที่เดินทางมาขายสินค้าได้พักผ่อน โดยเมืองมีจุดศูนย์กลางของกิจกรรมที่จัตุรัสกลางเมือง และชาวเมืองมีเทพเจ้าประจำเมือง คือ Jove, Juno, Minerva กับ Venus
แม้โรงละครที่หันหน้าสู่แม่น้ำ Sarno จะไม่ยิ่งใหญ่เท่า Colleseum ในโรม แต่ก็สวย เพราะมีที่กำบังแดด และสามารถบรรจุคนได้มากถึง 2,000 คน ที่นี่จึงใช้สำหรับการชมดูการต่อสู้ของ gladiator ด้วย ทั้งนี้เพราะชาวเมืองชอบดูกีฬานองเลือดชนิดนี้มาก นอกจากนี้เมืองก็มีสนามกรีฑาและสระว่ายน้ำให้บรรดาชายฉกรรจ์แสดงฝีเท้า และฝีมือ รวมทั้งพละกำลังในการเล่นมวยปล้ำ และว่ายน้ำด้วย ถึงกีฬาเหล่านี้เป็นกีฬากรีกยิ่งกว่ากีฬาโรมัน แต่ Pompeii ก็สามารถผสมผสานสองอารยธรรมได้อย่างลงตัว เช่น มีกีฬาให้ gladiator โรมันฆ่ากัน และมีกรีฑาให้คนหนุ่มเล่นกีฬาของชาวกรีก
สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.
(อ่านต่อวันศุกร์หน้า)