"คอนนี คัลพ์" คนแรกของสหรัฐฯ ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าที่เสียโฉมให้กลับมาเหมือนปรกติได้อีกครั้ง หลังจากถูกสามียิงแสกหน้าเมื่อ 5 ปีก่อน จมูก โหนกแก้ม เพดานปากแตกละเอียด เจ้าตัวเผยอยากกลับเข้าสังคมอีกครั้ง พร้อมให้กำลังใจทุกคนที่ประสบชะตากรรมคล้ายกับเธอ
คลีฟแลนด์คลินิก (Cleveland Clinic) เมืองคลีฟแลนด์ มลรัฐโอไฮโอ แถลงข่าวเปิดตัว "คอนนี คัลพ์" (Connie Culp) หญิงอเมริกันวัย 46 ปี จากเมืองยูเนี่ยนพอร์ท ซึ่งเป็นคนไข้รายแรกของสหรัฐฯ ที่ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าใหม่ที่ได้รับบริจาคจากผู้ใจบุญที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งทำให้เธอกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปรกติอีกครั้ง จากที่ต้องทนทุกข์ทรมานนานถึง 5 ปี และเป็นที่เกลียดกลัวของคนทั่วไป
"ฉันคาดเดาได้เลยว่าฉันเป็นบุคคลที่พวกคุณตั้งใจมาเฝ้าดูกันในวันนี้ แต่ฉันคิดว่ามันจะสำคัญยิ่งกว่า ถ้าพวกคุณมุ่งเป้าไปที่ครอบครัวของผู้เสียสละที่ทำให้ฉันได้มีใบหน้านี้" คัลพ์ เผยในระหว่างการแถลงข่าวที่คลินิก เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา ตามรายงานจากสำนักข่าวเอพี ซึ่งลักษณะใบหน้าอันผิดรูปผิดร่างและสาเหตุที่ทำให้คัลพ์เป็นเช่นนั้นได้ถูกปิดไว้เป็นความลับมาโดยตลอดในระหว่างการรักษาและเพิ่งเปิดเผยในวันแถลงข่าวนี้เอง
สาเหตุที่ทำให้คัลพ์เสียโฉม เนื่องจากเธอถูกสามียิงเข้าที่กลางใบหน้าด้วยปืนลูกซอง โดยเหตุเกิดในปี 2547 ซึ่งสามีของเธอก็ถูกตัดสินให้จำคุก 7 ปี ขณะที่ตัวเธอรอดจากความตาย และต้องใช้ชีวิตอยู่ต่ออย่างน่าสมเพชเวทนา เป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วไป โดยเฉพาะกับเด็กๆ เพราะใบหน้าอัปลักษณ์ ไม่เหมือนคนปรกติทั่วไป แต่เธอก็ยังโชคดีที่มีลูกสาวและลูกชายอยู่เคียงข้าง
ทั้งนี้ แรงกระสุนจากปืนลูกซองทำให้กระดูกบริเวณจมูก แก้ม และเพดานปากถูกทำลายย่อยยับ ชิ้นส่วนของกระสุนและเศษกระดูกที่แตกละเอียดหลายร้อยชิ้นฝังเข้าไปบนใบหน้าของเธอ และทำให้เธอต้องต่อท่อช่วยหายใจเข้ากับหลอดลมโดยตรง มีเพียงบริเวณเปลือกตาด้านบน หน้าผาก ริมฝีปากล่าง และคาง ที่ยังอยู่ในสภาพดีอยู่
คัลพ์ เล่าว่า ดร.ไรซัล โจฮัน (Dr. Risal Djohan) ศัลยแพทย์ประจำคลีฟแลนด์คลินิก ได้พบกับลักษณะการบาดเจ็บของเธอในอีก 2 เดือนหลังจากเกิดเหตุ ซึ่งเขาก็ไม่มั่นใจและไม่คิดว่าจะรักษาเธอได้ แต่เขาก็พยายามอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็ทำให้เธอกลับมามีใบหน้าที่เหมือนคนปรกติอีกครั้งหลังจากเข้ารับการรักษาผ่าตัดรักษาใบหน้ารวม 30 ครั้ง โดยคณะแพทย์ที่รักษาได้นำกระดูกซี่โครงบางส่วนของคัลพ์มาใส่ทดแทนโหนกแก้ม นำกระดูกบริเวณขาบางส่วนมาใส่ทดแทนขากรรไกรส่วนบน และปลูกถ่ายผิวหนังใหม่บนใบหน้าจากผิวหนังส่วนโคนขา ทว่านั่นก็ยังไม่ทำให้เธอสามารถกินอาหารแข็งๆ ได้ หรือดมกลิ่นและหายใจเองได้
กระทั่งเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ปีที่ผ่านมา ดร.มาเรีย ไซมิวโนว์ (Dr. Maria Siemionow) นำทีมแพทย์ผ่าตัดรักษาใบหน้าให้คัลพ์อีกครั้งโดยใช้เวลานานถึง 22 ชั่วโมง ซึ่งในครั้งนี้แพทย์ได้นำเอากระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาท และผิวหนัง จากผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว มาแทนที่ส่วนต่างๆ บนใบหน้าของคัลพ์ถึง 80% ซึ่งคัลพ์นับเป็นคนไข้รายที่ 4 ของโลกที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าจากใบหน้าของผู้อื่น
ดร.ไซมิวโนว์ เปิดเผยว่า หลังการผ่าตัดครั้งสุดท้ายในเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว พอเข้าสู่เดือน ม.ค. คัลพ์ก็เริ่มกินพิซซา ไก่ และแฮมเบอร์เกอร์ได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยเฉพาะคุกกี้และกาแฟที่คัลพ์ชอบมากเป็นพิเศษ แต่อย่างไรก็ดี ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับผู้ที่บริจาคใบหน้าให้กับคัลพ์ ซึ่งแม้ครอบครัวของผู้ใจบุญดังกล่าวจะมาร่วมในงานแถลงข่าวด้วย ซึ่งเมื่อพวกเขาได้เห็นใบหน้าของคัลพ์ทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้า ก็ถูกพาตัวออกไปจากงานทันที
ด้านคัลพ์กล่าวต่อว่า ใครก็ตามที่มีรูปร่างหน้าตาเสียโฉมและดูไม่สวยงามเหมือนกับคนอื่นๆ มันไม่ยุติธรรมต่อพวกเขาเลย เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันบ้าง พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่ผู้ที่ทนทุกข์ทรมานเพราะได้รับบาดเจ็บจนรูปโฉมเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งคัลพ์ยังได้เข้ารับการบำบัดจิตกับจิตแพทย์ ดร.เคธี คอฟฟ์แมน (Dr. Kathy Coffman) ด้วยเพราะเธออยากจะกลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้เวลาเธอไปไหนมาไหนก็มักจะทำให้ผู้คนหวาดกลัวและไม่อยากเข้าใกล้ และยังได้ยินเสียงซุบซิบนินทาต่างๆนานา
คัลพ์ออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา และต้องมาพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาเป็นระยะ โดยหลังจากนั้นแพทย์พบว่าเธอมีอาการปฏิเสธเพียงเล็กน้อยและครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งแพทย์ก็ได้ให้ยาสเตอรอยด์เพื่อระงับอาการดังกล่าวในปริมาณหนึ่ง แต่คัลพ์จะต้องกินยากดภูมิคุ้มกันต่อไปตลอดชีวิต เพียงวันละ 1 เม็ดเล็กๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต่อต้านใบหน้าใหม่ของเธอ
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้คณะแพทย์ของฮาร์วาร์ดร่วมกับโรงพยาบาลบริกแฮมแอนด์วีเมนส์ (Brigham and Women's Hospital) เมืองบอสตัน ได้แถลงผลสำเร็จการผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าให้ผู้ป่วยรายที่ 2 ของสหรัฐฯ หรือรายที่ 7 ของโลก ไปเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมานี้เอง ส่วนคนไข้รายแรกของโลกที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าสำเร็จในปี 2548 เป็นหญิงชาวฝรั่งเศสที่ถูกสุนัขที่เลี้ยงไว้ขย้ำจนเสียโฉม