ผอ.สวทช. เผย ไทยได้รับข้อมูลจีโนมเชื้อไข้หวัดใหญ่กลายพันธุ์ในเม็กซิโกจากองค์การอนามัยโลกแล้ว เดินหน้าสร้างชุดตรวจทันทีเพื่อใช้เฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง พร้อมทำวัคซีนต้นแบบได้ในอีก 2 สัปดาห์ แต่อาจยังไม่สามารถผลิตได้มากพอ เพราะยังไม่มีโรงงานผลิตขนาดใหญ่
เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 52 รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) เปิดเผยต่อสื่อมวลชนและทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ว่า หลังจากที่มีรายงานการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในประเทศเม็กซิโกตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 เม.ย.52 ที่ผ่านมา สวทช. ได้ประสานไปยังองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อขอข้อมูลลำดับพันธุกรรมหรือจีโนมของเชื้อไวรัสดังกล่าวมาศึกษาวิจัย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดการระบาดในประเทศ ซึ่งได้ข้อมูลจีโนมของเชื้อมาเรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ (27 เม.ย. 52)
"ขณะนี้เราได้รับข้อมูลจีโนมของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกจากองค์การอนามัยโลกมาแล้ว ขั้นต่อไปจะเร่งดำเนินการออกแบบและผลิตชุดตรวจจับเชื้อไวรัสจำเพาะ เพื่อนำไปใช้ในการตรวจวินิจฉัยและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งคาดว่าจะทำสำเร็จได้ภายใน 2 สัปดาห์ เนื่องจากว่าเรามีประสบการณ์ในการทำชุดตรวจเชื้อไข้หวัดนกมาก่อนแล้ว และยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่พบเชื้อไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกในประเทศไทย" รศ.ดร.ศักรินทร์กล่าว
ในขณะเดียวกัน สวทช. ก็ยังมอบหมายให้นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับนักวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล และศิริราชพยาบาล เพื่อเร่งพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก ซึ่งคาดว่าจะได้วัคซีนต้นแบบในอีก 2 สัปดาห์ และจะร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขในการทดสอบประสิทธิภาพและผลิตออกมาใช้ต่อไป
อย่างไรก็ดี ผอ.สวทช. บอกว่าขณะนี้ประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตวัคซีนได้ในปริมาณมาก เนื่องจากการผลิตวัคซีนป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่จะต้องใช้เวลานานประมาณ 6 เดือน และไทยยังไม่มีโรงงานผลิตวัคซีนขนาดใหญ่ (ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีน) แต่ในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขสามารถผลิตวัคซีนได้ในระดับกลางหรือราว 10,000 ชุด
ทั้งนี้ ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอช1เอ็น1 (H1N1) ที่กลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่างเชื้อไวรัสไข้หวัดในหมู, นก และมนุษย์ แต่ไวรัสดังกล่าวไม่ระบาดในหมู ทว่าสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ โดยพบผู้ติดเชื้อในเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกาแล้วกว่า 1,600 ราย และมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 149 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 52) และมีรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมในประเทศแคนาดา, สเปน และอังกฤษ แล้ว
