อาจจะไม่เร้าใจ เหมือนการดวลปืนของคาวบอย แต่การแข่งขันตามล่าหา "ฮิกกส์" ของห้องปฏิบัติการ "เฟอร์มิแล็บ" จากฟากสหรัฐฯ และ "เซิร์น" จากฝั่งยุโรป ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับบรรดานักฟิสิกส์ไม่น้อย
สำนักข่าวเอพีระบุว่า ท้ายที่สุดแล้ว เครื่องเร่งอนุภาคเทวาตรอน (Tevatron) ของห้องปฎิบัติการเครื่องเร่งอนุภาคเฟอร์มิแห่งสหรัฐอเมริกา (Fermi National Accelerator Laboratory) หรือเฟอร์มิแล็บ (Fermilab) ในชานเมืองชิคาโก สหรัฐฯ กับเครื่องอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ของเซิร์น (CERN) ล้วนแข่งขัน เพื่อหาหลักฐานที่สนับสนุนการมีอยู่ของอนุภาคที่เรียกว่า "ฮิกก์ส" (Higgs) หรือที่รู้จักกันว่า "อนุภาคพระเจ้า" ซึ่งเชื่อว่าเป็นอนุภาคที่ก่อมวลให้กับสสารที่สร้างขึ้นเป็นเอกภพ
"อนุภาคดังกล่าว กลายเป็นเหมือนจอกศักดิ์สิทธิ์ของวงการฟิสิกส์พลังงานสูงมากว่า 30 ปี" โจ ลิคเกน (Joe Lykken) นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของเฟอร์มิแล็บให้ความเห็น
เอพีระบุต่อว่าเพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ปรากฏหลักฐานว่า อนุภาคฮิกกส์จะได้รับการค้นพบ โดยนักวิทยาศาสตร์จากเซิร์นซึ่งประจำอยู่ที่เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีไม่ใช่ที่เฟอร์ลิแล็บ ซึ่งลิคเกนก็ยอมรับว่า ผู้คนต่างหัวเราะในแนวคิดที่เฟอร์มิแล็บจะค้นพบอนุภาคฮิกกส์ โดยเครื่องเร่งอนุภาคของสหรัฐฯ เองก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อตามหาอนุภาคฮิกก์ส
ทั้งนี้ เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี ซึ่งปัจจุบันคือเครื่องเร่งอนุภาคให้ชนกันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และมีสมรรถนภาพสูงกว่าเครื่องเร่งอนุภาคเทวาตรอนมาก อีกทั้งยังเริ่มเดินเครื่องได้อย่างประทับใจคนทั่วโลกเมื่อเดือน ก.ย.ปีที่ผ่านมา โดยยิงลำอนุภาคโปรตอนด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสง เข้าสู่ท่อลำเลียงลำอนุภาคของเครื่องเร่งในทิศทางตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มนาฬิกา
อย่างไรก็ดี เพียงอาทิตย์กว่าๆ ให้หลังก็ต้องหยุดเดินเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี เนื่องจากเกิดความเสียหายครั้งใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากความผิดพลาดในการต่อสายไฟจนเป็นเหตุให้อุปกรณ์หลอมละลาย แต่ในเดือนนี้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเผยว่า ได้ซ่อมแซมและเพิ่มความปลอดภัยเพื่อป้องกันไฟไหม้อีกครั้ง โดยจะแล้วเสร็จในปลายเดือน ก.ย.นี้
ทางด้านนักวิทยาศาสตร์เฟอร์มิแล็บกล่าวว่า เครื่องเร่งอนุภาคของพวกเขาก็เดินเครื่องไปได้ดี ซึ่งเพิ่มความหวังในการทดลองที่จะเกิดขึ้น คือการยิงลำอนุภาคโปรตรอนให้ชนกับลำปฏิโปรตรอน (antiproton) ว่าจะให้ผลเป็นอนุภาคฮิกก์สออกมา และดูเหมือนว่าการทดลองดังกล่าว จะเป็นหนทางในการใช้เงินอย่างชาญฉลาดด้วย
"เรากำลังพิจารณางบประมาณมหาศาล ที่ถูกตัดออกไปเมื่อปีก่อน และตอนนี้เรามีความหวังที่จะได้รับงบกระตุ้นเศรษฐกิจ และกำลังเร่งรีบที่จะหาวิธีใช้ประโยชน์เครื่องเร่งอนุภาคของเราให้ได้มากที่สุด" ลิคเกนกล่าว
ส่วน ดีมิทรี เดนิซอฟ (Dmitri Denisov) นักวิทยาศาสตร์ของเฟอร์มิแล็บกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ ที่เป็นเฟอร์มิแล็บจะพบอนุภาคฮิกก์สอยู่ 50-90% และเชื่อว่าพวกเขามี "ของจริง" และโอกาสที่พิจารณาอย่างเป็นเหตุเป็นผลแล้ว คาดว่าจะพบอนุภาคฮิกก์สได้ก่อนปี 2553 หรือ 2554
ทั้งนี้ เป็นที่ยอมรับในสังคมวิทยาศาสตร์ว่า การค้นพบอนุภาคฮิกก์สจะทำให้ผู้ค้นพบได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
"เรามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนี้จริงๆ เพื่อมีโอกาสดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมค้นหาที่บ้าคลั่ง" ความเห็นของ จาโคโบ โกนิกส์เบิร์ก (Jacobo Konigsberg) นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยฟลอริดา (University of Florida) ซึ่งทำงานอยู่ที่เฟอร์มิแล็บ
อย่างไรก็ตาม เขาและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ซึ่งรวมทั้งผู้ทำงานที่เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี ได้ลดความสำคัญที่จะพูดเรื่องการแข่งขันลง แต่พุ่งเป้าไปยังงานที่นักวิทยาศาสตร์ต้องทำว่ามากเพียงใด รวมถึงความร่วมในการแบ่งปันข้อมูลกันโดยไม่ลังเล
ความเป็นมิตรระหว่างนักวิทยาศาสตร์จาก 2 ห้องปฏิบัติการ ที่แข่งขันหาสิ่งเดียวกันฉายชัดในเดือน ก.ย.ปีที่ผ่านมา เมื่อนักวิทยาศาสตร์ของเฟอร์มิแล็บเอง ต่างก็ลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ กับการทดสอบเดินเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีครั้งใหญ่และครั้งแรก โดยที่แต่ละคนยังอยู่ในชุดนอน
"มันไม่ใช่การแข่งขัน จริงๆ นะ" ความเห็นของ ฮาร์วีย์ นิวแมน (Harvey Newman) ศาสตราจารย์ฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย หรือ คาลเทค (Caltech) ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่นำให้เกิดการวิจัยที่เซิร์น และกล่าวว่า เครื่องเร่งอนุภาคของเฟอร์มิแล็บ มีกำลังเพียงพอที่จะแสดงความเป็นไปได้ของอนุภาคฮิกก์ส แต่ไม่ได้ให้ความมั่นใจว่าสิ่งที่ค้นหาได้นั้นคือการค้นพบ ซึ่งเป็นสิ่งที่พ้องกับความเห็นของลิคเกน เพียงแต่บางรายละเอียดต่างไป
"เทวาตรอนไม่อาจชี้ชัดในที่สุดได้ และเรายังต้องการแอลเอชซี ให้ฟันธงว่าสิ่งที่ค้นพบนั้นคือฮิกก์สจริงๆ แต่หากเฟอร์มิแล็บค้นพบมากอย่างที่น่าจะเป็นฮิกก์สได้จริงๆ ปฏิกริยาที่ตามมาคงคล้ายแฟนทีมเบสบอลแสดงออกต่อชนะของทีมในดวงใจ และจะเป็นชัยชนะอันเหลือเชื่อสำหรับโครงการของสหรัฐฯ ที่ใช้เครื่องเร่งอนุภาคพลังงานต่ำที่เฟอร์มิแล็บ แล้วสร้างการค้นพบนี้" ลิคเกนกล่าว.