xs
xsm
sm
md
lg

ตำนานการระบาดของกาฬโรคในยุโรปยุคกลาง (1)

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

ภาพ The Plague ของ Raphael แสดงการระบาดของกาฬโรค ส่วนขวาแสดงเหตุการณ์กลางคืน และส่วนซ้ายแสดงเหตุการณ์กลางวัน
ในระหว่าง พ.ศ. 1891 - 1893 (รัชสมัยพระเจ้าลือไทย แห่งอาณาจักรสุโขทัย) ได้เกิดเหตุการณ์กาฬโรคระบาดอย่างรุนแรงในยุโรป จนประชากรล้มตายไปประมาณ 25% การไม่รู้สาเหตุทำให้ผู้คนไม่มีวิธีป้องกัน และแพทย์ไม่มีวิธีรักษา ดังนั้น ทุกคนในสมัยนั้นจึงมีชีวิตอยู่ภายใต้เงามัจจุราชตลอดเวลา

จนกระทั่งปี 2437 แพทย์จึงรู้ว่ากาฬโรคเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Baicllus pestis และคนที่เป็นโรคนี้ออกอาการได้ 3 รูปแบบ คือ กาฬโรคปอด (peneumonic) กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (bubonic) และกาฬโรคเลือด (septicemic) ซึ่งกาฬโรคทั้ง 3 ชนิดนี้ สามารถทำให้คนที่เป็นตายได้ภายใน 5 - 6 วัน หลังจากที่ถูกหมัดจากหนูกัด ทำให้มีไข้สูง รู้สึกเจ็บตามตัวและอ่อนเพลีย หลังจากนั้นตัวจะมีตุ่มเป็นจ้ำดำ ต่อมน้ำเหลืองบวม ใต้ท้องน้อย ต้นขา และรักแร้จะบวม การมีตุ่มดำ ก่อนเสียชีวิตเล็กน้อย ผู้คนจึงเรียกการตายด้วยโรคนี้ว่า Black Death แพทย์ยังได้พบอีกว่า การแพร่เกิดจากการไอ จาม และการระบาดมักอุบัติในที่ที่แออัด หรือที่ที่สาธารณสุขไม่ดี

ในการศึกษาประวัติการระบาดของโรคนี้ นักประวัติศาสตร์ได้พบว่า อาณาจักรโรมันได้เคยประสบเหตุการณ์กาฬโรคระบาดตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 11 แล้วได้สงบไป จนกระทั่งอีก 900 ปีต่อมา เมื่อเหล่าทหารในสงคราม Crusade เดินทางกลับจากตะวันออกกลาง กาฬโรคก็ได้ระบาดอีก โดยเฉพาะในปี 1991 นั้น มีผู้คนล้มป่วยมากมายในอิตาลี สเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ สแกนดิเนเวีย และยุโรปตอนกลาง การระบาดมักเริ่มในเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ในยามหน้าร้อน ซึ่งเป็นเวลาที่หนูในเมืองมีเกลื่อนกลาด แต่เมื่อถึงหน้าหนาว ความรุนแรงของโรคก็ลดลง และเริ่มระบาดใหม่อีกในฤดูใบไม้ผลิต่อมา

ในปี 2208 (รัชสมัยพระนารายณ์มหาราช) สถิติการเสียชีวิตของคนอังกฤษในลอนดอนเท่ากับ 10% (50,000 คน) คนอิตาลีที่เมือง Florence ตาย 45,000 คน คนเยอรมันที่เมือง Hamburg ล้มตายเพราะกาฬโรค 60% คนฝรั่งเศสที่เมือง Marseilles ตาย 40,000 คน

เมื่อผู้คนล้มตายกันมากมาย และมดหมอช่วยอะไรไม่ได้เลย อีกทั้งมาตรการป้องกันโรคที่บ้านเมืองกำหนดให้ทุกคนปฏิบัติ ก็ป้องกันอะไรไม่ได้ ดังนั้น ชาวเมืองจึงพากันคิดว่ากาฬโรคเป็นโรคที่พระเจ้าส่งลงมาฆ่าคนที่ทำบาป หลายคนคิดว่าคนยิวลอบเอายาพิษใส่ในบ่อน้ำ ทำให้คนที่ดื่มน้ำจากบ่อล้มตาย บางคนไปโบสถ์เพื่อสวดขอให้พระแม่มาเรียคุ้มครอง บ้างก็ไปพบนักบุญ Sebastian และ นักบุญ Roch เพื่อไถ่บาป บางคนใช้วิธีเปลื้องบาปโดยโบยตีตนด้วยแส้จนเลือดอาบ แต่ถึงจะใช้วิธีใด กาฬโรคก็ยังระบาด และผู้คนก็ยังล้มตายต่อไป ดังนั้น วิธีเอาตัวรอดวิธีต่อไปคือหนี โดยใช้รถม้า เกวียน รถเข็น หรือเรือหนีออกนอกเมืองทันทีที่รู้ว่ากาฬโรคระบาด บรรดาคนที่มีฐานะดี เช่น กษัตริย์ นักบวช พ่อค้า ทนาย ครู อาจารย์ ทหาร และแม้แต่แพทย์เองก็หนี ทิ้งคนจนที่ไม่มีปัจจัยป้องกันตัวเองเผชิญมัจจุราชตามลำพัง ส่วนคนรวยเมื่อหนีไปแล้วก็ไปพำนักในบ้านนอกเมือง โดยปิดประตูบ้านไม่รับแขกใดๆ เพราะเชื่อว่าคนที่มาเยือนคือยมบาลที่มาเรียกตัว

ดังในปี 2106 ที่กาฬโรคระบาดในลอนดอน สมเด็จพระราชินี Elizabeth ที่หนึ่ง ทรงเสด็จหนีกาฬโรคไปประทับที่พระราชวัง Windsor นอกเมือง และพระองค์ทรงบัญชาให้ฆ่าทุกคนที่หนีมาจาก London เพื่อจะมาพักพิงในพระราชวังของนาง ส่วนรัฐบาลก็ได้กำหนดมาตรการสกัดการระบาด โดยส่งทหารไปล้อมเมืองที่มีการระบาดไม่ให้ใครเข้า-ออก และให้คนในเมืองปิดประตูบ้านของตนไม่ให้ใครไปไหนมาไหน ถ้าไม่จำเป็น สำหรับคนที่ป่วยก็ให้กักตัวอยู่ในบ้านของตน และตามจัตุรัสในเมืองมีการติดตั้งตะแลงแกงขู่ฆ่าคนที่ขัดขืนหรือไม่เชื่อคำสั่ง

สำหรับวิธีการรักษากาฬโรคในสมัยนั้น แพทย์ใช้ทากดูดเลือดที่เชื่อว่าเป็นเลือดเสีย แพทย์บางคนรักษาไข้โดยการปล่อยเลือดให้ไหลออกจากร่างกาย ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยคนไข้แล้ว ยังทำให้คนไข้ตายเร็วด้วย และแพทย์บางคนให้คนไข้สูบบุหรี่ เพราะเชื่อว่าไอร้อนจากควันบุหรี่รักษากาฬโรคได้ ในปี 2111 ศัลยแพทย์ Ambroise Pare แห่งฝรั่งเศสได้บันทึกว่า เวลาสมาชิกของครอบครัวคนหนึ่งคนใดล้มป่วยด้วยกาฬโรค สถาบันครอบครัวจะล่มสลายทันที สามีจะทิ้งภรรยาที่เป็น ลูกจะทิ้งพ่อแม่ที่เป็น และพ่อแม่ก็จะทิ้งลูกที่เป็นกาฬโรคเช่นกัน ทำให้คนที่ถูกทอดทิ้งกลัวจนเสียสติ และฆ่าตัวตายกลางถนนในเวลาต่อมา ดังภาพ La Peste ที่ Raphael วาด ซึ่งขณะนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Uffizi ในเมือง Florence

สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.
นักบุญ Roch แห่งเมือง Montpellier ในฝรั่งเศส ผู้อุทิศตนรักษาคนเป็นกาฬโรค จนตัวเองสิ้นบุญด้วยกาฬโรค
กำลังโหลดความคิดเห็น