กรีนพีซจัดฉาย "ชั่วโมงที่ 11" ผลงานการสร้างของ "ลีโอนาโด" พระเอกฮอลลิวูดผู้มีแรงบันดาลใจจากหนังโลกร้อนของ "กอร์" รอบพิเศษ พร้อมเปิดวงเสวนารับ "วันคุ้มครองโลก" นักวิจัยจุฬาฯ แนะปลูกต้นไม้ช่วยโลกได้ วอนหยุดก่อภัยพิบัติสู่ลูกหลาน ด้าน "ธารา" ผู้ประสานงานกรีนพีซสรุปข้อสะท้อนจากหนัง "โลกอยู่ได้แม้ไม่มีคน แต่คนจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีโลก"
แม้กระแสเรื่องโลกร้อนจะยังคงฮิตติดลมบน แต่ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่จำได้ว่า "วันที่ 22 เม.ย." ของทุกปีนั้น เป็น "วันคุ้มครองโลก" หรือ "Earth Day" และเมื่อค่ำวันที่ 22 เม.ย.51 ที่ผ่านมา กรีนพีซเอเซียตะวันออกเฉียงใต้จัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์สารคดี "The 11th Hour : ตีแสกปมวิกฤติโลก" ผลงานการสร้างของ "ลีโอนาโด ดิคาปริโอ" ดาราฮอลลีวูดชื่อดัง ณ โรงภาพยนตร์เอสเอฟเวริล์ดซีนีมา ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวริล์ดพลาซา กรุงเทพฯ
ก่อนเริ่มฉายภาพยนตร์ดังกล่าว วงเสวนาย่อยก็เริ่มขึ้นเพื่อเรียกน้ำย่อยในหัวข้อ "มหันตภัยโลกร้อน" โดยเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมีผู้ร่วมวงเสวนาคือ รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายธารา บัวคำศรี ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซฯ มีนายทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการนิตยสารอะเดย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
รศ.ดร.ธนวัฒน์ เกริ่นว่า คนทั่วไปยังมีความสับสนระหว่าง "ภาวะโลกร้อน" (Global Warming) และ "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" (Climate Change) อยู่มาก โดยคำแรกเป็นคำเรียกของปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งโลกของเราจะแตกต่างจากดาวเคราะห์ดวงอื่น และมีวัฏจักรยุคน้ำแข็งที่สลับกันไปมากับยุคหลังยุคน้ำแข็ง
ส่วนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปรากฎการณ์ที่จะค่อนไปในเรื่องระดับท้องถิ่น คือเกิดขึ้นเฉพาะที่ทำให้เกิดภูมิอากาศแปรปรวน เช่น เหตุการณ์ลูกเห็บตกในกรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จนคิดต่อไปได้ว่าในอนาคต ดอยอินทนนท์อาจมีโอกาสที่หิมะตกลงมาบ้างก็ได้
รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ย้อนหลังไปเมื่อ 20 ปีก่อน หากเที่ยวบอกประชาชนว่าจะเกิดปัญหาโลกร้อนขึ้น ใน 10 คนจะมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เชื่อ อีก 7 คนไม่เชื่อ ขณะที่ปัจจุบันกระแสเรื่องนี้มาแรงมาก
ยกตัวอย่างสารคดี "ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง" (An Inconvenient Truth) ของ "อัล กอร์" อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ต้องถือว่าทำออกมาได้อย่างถูกจังหวะกับผลกระทบของปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมีหลักฐานวิทยาศาสตร์มากมายชี้ให้เห็นผลกระทบนี้จนใน 10 คนจะมีเพียง 1 คนที่อาจยืนกรานไม่เชื่อ
"หากเราหยุดหายใจแบบถาวร มันจะช่วยลดปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก แต่ไกลตัวไปนิดหนึ่ง อีกวิธีหนึ่ง เราอาจใช้วิธีการปลูกต้นไม้ ไม่จำเป็นต้องเป็นต้นใหญ่ๆ อาจเป็นต้นเล็กๆ ที่เราทานได้ เช่น กะเพรา เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งคาดการณ์กันว่าในอีก 100 ปีข้างหน้า โลกอาจร้อนขึ้นถึง 3-5 องศาฯ และน้ำทะเลจะเพิ่มสูง 30-40 ซม.ทั่วโลก และเราก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรตามมาอีกมากมาย"
"สิ่งที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ คือสิ่งที่คนรุ่นก่อนในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ 200 ปีก่อนสร้างไว้ให้เรา และตอนนี้เรากำลังจะสร้างภัยพิบัติชิ้นใหม่ให้กับรุ่นลูกของเราต่อไป" รศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าว
ด้านนายธารา เสริมว่า การแก้ไขปัญหาดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่เราต้องตระหนักมากๆ โดยเฉพาะคนยุคปัจจุบันและคนในยุคอนาคต เนื่องจากเรายังต้องอาศัยอยู่กับโลกใบนี้ต่อไป
สื่อกระแสหลักไม่เพียงพอที่จะสื่อสารเรื่องนี้ออกไปสู่สังคมตามลำพัง แต่จะต้องทำให้แพร่หลายออกไปผ่านสื่ออื่นๆ ด้วย เช่น ภาพยนตร์สารคดี หรือการนำบุคคลที่เป็นที่รู้จักมาตีแผ่เนื้อหา โดยพวกเราแต่ละคนสามารถสำรวจและช่วยเหลือโลกได้ด้วยการมองกลับไปยังสิ่งรอบตัวเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยกันทางออกของปัญหาและแก้ไขร่วมกัน
ทั้งนี้ ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "The 11th Hour : ตีแสกปมวิกฤติโลก" ได้ตีแผ่ที่มาของปัญหาภาวะโลกร้อนโดยการสัมภาษณ์ความคิดเห็นจากนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการมากกว่า 50 คน อาทิ สตีเฟน ฮอว์กิง นักฟิสิกส์ชื่อดัง ที่มีต่อปัญหาและผลกระทบของปัญหาทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเสนอให้มีการใช้ชีวิตอย่างประหยัดและการปรับเปลี่ยนมุมมองทางเศรษฐศาสตร์เพื่อแก้ปัญหา
"สิ่งหนึ่งที่สะท้อนในภาพยนตร์คือโลกเรายังมีเวลา แต่มนุษย์เราจะไม่มีเวลา เพราะโลกยังอยู่ได้แม้จะไม่มีคน สิ่งนี้ทำให้เราฉุกคิดได้ว่ามันจริงด้วยนะ" นายธาราปิดท้าย
** หมายเหตุ**
ภาพยนตร์เรื่อง "ดิ อิเลฟเวนธ์ ฮาวร์" (The 11th Hour) หรือ "ชั่วโมงที่ 11 ตีแสกปมวิกฤติโลก" มีจำหน่ายในรูปแบบดีวีดีและวีซีดีตามร้านจำหน่ายภาพยนตร์และร้านสะดวกซื้อทั่วไป.
