ที่ไอคอนสยาม วันที่ 22 พ.ย. 68 สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา สมาคมสมาพันธ์ผู้ดูแลไทย และสมาคมสายใยครอบครัว จัดกิจกรรม “HOPE” Transforming Suicide grief to Positive Power “เพราะ “ชีวิต” ยังต้องดำเนินต่อไป ” เนื่องในวันผู้สูญเสียบุคคลใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตายนานาชาติ ครั้งที่ 6
โดย ศ.นพ.ชวนันท์ ชาญศิลป์ นายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เพราะการสูญเสียไม่ได้จบ ที่การฆ่าตัวตาย แต่ความเสียใจ รู้สึกผิด ยังคงหลงเหลืออยู่ในคนใกล้ชิด ถึงแม้ไม่ได้เจ็บป่วย แต่เป็นบาดแผลในใจ การจัดงานวันผู้สูญเสียบุคคลใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตาย เพื่อให้สังคมเกิดความตระหนักในการช่วยดูแล หวังว่าจะ กระตุ้นให้สังคมและหน่วยงานช่วยป้องกันการฆ่าตัวตายให้มากขึ้น
เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงของการฆ่าตัวตาย บางอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นประวัติการลงมือการฆ่าตัวตาย เพราะได้ลงมือไปแล้ว แต่สามารถเพิ่มปัจจัยการป้องกันการฆ่าตัวตาย และลดการตีตราได้ เพราะ การฆ่าตัวตายไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นวิกฤตทางอารมณ์
“ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความผูกพันธ์ ในครอบครัว คนใกล้ชิด หรือความรู้สึกปลอดภัยในการอยู่ในสภาพแวดล้อม หรือแม้กระทั่งศาสนา ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มการป้องกันการฆ่าตัวตาย แบ่งปันความรู้สึก ไม่ทำให้คนรู้สึกโดดเดี่ยว ลดการทำร้ายตัวเอง และความรู้สึกยังมีความหวัง เช่น คนที่รู้ตัวว่า ยังมีคนข้างหลัง พ่อแม่ หรือ ลูกรออยู่ ส่วนนี้จะเป็นพลังทำให้ผ่านความยากลำบากไปได้ เช่นเดียวกับ การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ช่วยลดการทำร้ายตัวเองได้เช่นกัน ทำให้ผ่านทุกปัญหาไปได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก ”ศ.นพ.ชวนันท์ กล่าว
ผศ.พิเศษ นพ.ปราการ ถมยางกูร นายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย และกรรมการสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า แต่ละปีมีคนฆ่าตัวยตายประมาณ 5,000 คน และพยายามฆ่าตัวตาย 30,000 คน การป้องกันการฆ่าตัวตาย และพยายามให้ความช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ อันดับแรก ต้องเข้าใจว่า การฆ่าตัวตาย มาจากหลายปัจจัยทั้งด้านพันธุกรรม ชีวภาพ จิตใจ การปรับตัว และสภาพแวดล้อมทางสังคม ที่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไร้ค่า ไร้ความหวัง ไร้คนช่วยเหลือ ดังนั้นต้องสร้างความไว้วางใจ ทำให้คนกลุ่มนี้ รู้สึกว่า ยังมีความหวัง ตนเองมีคุณค่า มีคนรักและห่วงใยคอยอยู่ ผู้สูญเสียบุคคลใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตายจะโศกเศร้าเสียใจ รู้สึกผิด โทษตนเองและผู้อื่น เกิด stigma ฝันร้าย คุณภาพชีวิตลดลง บางรายฆ่าตัวตายตาม ผู้สูญเสียมักไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ดังนั้นการช่วยเหลือผู้สูญเสียโดยใช้กลุ่มจิตบำบัดที่มีความเฉพาะเจาะจงจึงมีความจำเป็นอย่างมาก กลุ่มจิตบำบัด PRAKARN Model เป็นนวัตกรรมในการช่วยเหลือผู้สูญเสียบุคคลใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตาย ด้วยการเข้าร่วมกลุ่มครั้งละ 60-90 นาที สัปดาห์ละครั้ง จำนวน 6 ครั้ง สามารถช่วยให้การดำเนินชีวิตกลับมาดีขี้น ลด stigma ได้ ซึ่งจะจัดในต้นปี 2569 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ที่ต้องการปรึกษาด้านสุขภาพจิต สามารถโทรศัพท์ปรึกษาได้ที่สายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323
พญ.ชนิฎา ศิริประภารัตน์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานฝ่ายวิชาการ สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย กล่าวว่า คนที่สูญเสียบุคคลใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตาย สิ่งที่หลงเหลือส่วนใหญ่ คือ ความรู้สึกผิด และไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกผิดนี้ได้อย่างไร บางคนโกรธ โทษตัวเอง หากได้ระบายความรู้สึกนี้ออกมาจะช่วยให้ผ่อนคลาย เหมือนกับการบำบัดคนที่ไปรบในภาวะสงคราม เพื่อขจัดภาพจำหรือ ประสบการณ์ที่เลวร้าน แต่ทั้งนี้กลุ่มคนใกล้ชิดที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการฆ่าตัวตาย ต้องไม่เก็บความรู้สึกผิดไว้คนเดียว ต้องหากคนที่เชื่อใจเพื่อได้ระบายออก และหากเกิดความเครียดต้องรู้จัก จัดการอารมณ์ ด้วยการ นั่งสมาธิ สวดมนต์ หรือ ฟังเพลง หรือ หากรู้ตัวว่าไม่ไหวควรพบจิตแพทย์
ทั้งนี้ กิจกรรมภายในงานวันผู้สูญเสียบุคคลใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตาย กลุ่มคนใกล้ชิด หรือ ครอบครัวผู้สูญเสียได้มาร่วม ทำกิจกรรมศิลปะบำบัดโดยผศ. ดร.เลิศศิริร์ บวรกิตติ จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อสร้างความหวังและพลังบวกให้เกิดขึ้นในชีวิต และมีการร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เสียงสะท้อนจากผู้สูญเสียบุคคลใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตาย ตลอดจนผู้อำนวยการสร้าง TALKTOTHEDEAD และ Listen with Heart ซึ่งชมได้ในเว็บไซด์สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย แต่ละท่านได้ให้มุมมองที่เป็นประโยชน์
ในการจัดงานครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์สถานที่จากไอคอนสยามซึ่งเพิ่งได้รับรางวัล MAPIC Awards 2025 ในฐานะเป็น 1 ใน 3 สุดยอดโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในรอบ 30 ปี


