เผยกรณีศึกษา ชายวัย 90 ปีที่ จ.เลย ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย หมอบอกอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน ลูกชายไปขอยากัญชาจากหลวงพ่อที่สนิทกันมาใช้ ผ่านไป 5 เดือนอาการดีขึ้นผิดหูผิดตา ชี้หากให้กลับเป็นยาเสพติดผู้ป่วยเดือดร้อนแน่ ลั่นถ้าประกาศเมื่อไหร่จะเชิญชวนผู้ได้รับผลกระทบยื่นศาลปกครองแน่นอน
ผู้สื่อข่าวจากจังหวัดเลยว่า มีกรณีศึกษาการใช้ยากัญชา ที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย ฟื้นขึ้นมาได้ โดยผู้ป่วยชื่อ ร.ต.ต.พวง เปรื่องธรรมกุล อายุ 90 ปี เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย แพร่กระจายไปที่ปอดและกระดูก เหนื่อย หายใจลำบากมาก แพทย์ฉีดยามอร์ฟีนให้ทุก 12 ชั่วโมง บอกว่ารักษาไม่ได้ ให้กลับบ้าน จ่ายยาพ่นขยายหลอดลม ยามอร์ฟีนแบบกินและแนะนำให้ใส่ออกซิเจนตลอดเวลา พร้อมแจ้งญาติว่า จะอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน ต่อมามีคนแนะนำให้ลูกชายไปขอยากัญชาจากคลินิกกัญชาของโรงพยาบาลมาให้พ่อใช้ แต่โรงพยาบาลบอกว่ายาหมด
โชคดีที่ในที่สุดลูกชายก็ได้ยากัญชาสกัดจากหลวงพ่อที่สนิทกันมาให้พ่อใช้ หลังจากใช้ไปเพียง 3 วัน อาการของคุณพ่อกลับค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ เหนื่อยน้อยลงมาก ไม่หอบ ไม่ต้องพ่นยา ไม่ต้องใส่สายออกซิเจน จากเดิมที่นอนติดเตียง ต้องให้ออกซิเจนตลอดเวลา ผ่านไป สองสัปดาห์ ก็ลุกจากเตียงได้ นั่งตักอาหารรับประทานเองได้ ลุกเดินได้ โดยมีคนคอยช่วยพยุง ไปทานอาหารนอกบ้านได้
เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา อาการดีขึ้นอย่างมาก สามารถอวยพรให้ลูกหลานที่มารดน้ำขอพรได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันผ่านไป 5 เดือนแล้ว แพทย์พยาบาลที่เคยดูแล ถึงกับประหลาดใจมากที่ผู้ป่วยยังมีชีวิตอยู่ และแข็งแรงขึ้นมาผิดหูผิดตา
นายสุวิทย์ เปรื่องธรรมกุล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานศาลปกครองพิษณุโลก ลูกชายของ ร.ต.ต.พวง ซึ่งเป็นคนไปหายากัญชามาให้พ่อใช้ กล่าวว่า “การเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ป่วยจำนวนมาก นี่ขนาดยังไม่เป็นยาเสพติด โรงพยาบาลก็ไม่อยากจะจ่ายยากัญชากันแล้ว เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่มีนโยบายสนับสนุนเรื่องนี้ ยากัญชาตามโรงพยาบาลจึงขาดแคลน ผมเองก็ใช้ยากัญชาอยู่เพราะเป็นโรคตับ ปัจจุบันแข็งแรงดี
“ถ้ารัฐบาลเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดจริง คงจะเดือดร้อนกันอีกนับล้านคน หลายคนน่าจะเสียชีวิตไปอย่างที่ไม่สมควร ถือเป็นอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติแบบหนึ่ง หากมีการออกประกาศให้นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ขอเชิญชวนผู้ป่วยที่ใช้กัญชารักษาโรค และผู้ที่จะได้รับผลกระทบ นำเรื่องไปฟ้องเพิกถอนกฎหรือประกาศ ต่อศาลปกครอง เพื่อปกป้องคุ้มครองตนและเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมด้านสุขภาพให้กับพี่น้องประชาชน ที่รักสุขภาพ และต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี” นายสุวิทย์ กล่าว