xs
xsm
sm
md
lg

“หมอธีระวัฒน์” ชี้เรื่องกัญชา สะท้อนความนิ่งเฉย เสื่อมน้ำใจและความเมตตา ลั่นถอยไม่ได้แล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หมอธีระวัฒน์” ชี้เรื่องกัญชาสะท้อนความนิ่งเฉย ความเสื่อมถอยของน้ำใจและความเมตตา มีตัวอย่างให้เห็นว่าชาวบ้านที่ใช้ตำรับกัญชารักษาโรคแล้วหาย แต่ยังกีดกันไม่ให้ใช้ อ้างว่าอธิบายไม่ได้โดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถามคนไทยทั้งประเทศจะนิ่งเฉยปล่อยตามยถากรรมเช่นนั้นหรือ ลั่นเราถอยไม่ได้อีกแล้ว
วันนี้(7 พ.ค.) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์พิเศษสาขาประสาทวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha เกี่ยวกับการใช้กัญชารักษาโรค ซึ่งในปัจจุบันยังถูกกีดกันจากบุคคลและหน่วยงานที่มีอำนาจ ว่า เรื่องของกัญชาสะท้อนความนิ่งเฉย ความเสื่อมถอยของน้ำใจ และความเมตตา
จากท่าน ดร.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม คณะนิติศาสตร์ จุฬา สรุปให้เราฟังว่า คนที่อยู่ในวงการกฎหมาย(และเมื่อหมอได้ฟังแล้วก็พบว่าคนที่อยู่ในทุกวงการ ไม่เว้นแม้กระทั่งแพทย์ ) จะแบ่งออกได้เป็น 3 เผ่า

เผ่าที่หนึ่ง ทำตามตัวหนังสือเหมือนมีฝาให้หลังพิง สามารถแสดงอำนาจบริหารอำนาจได้ตามประสงค์เพราะมีตัวหนังสืออยู่ในมือ สิ่งที่ปรากฏเห็นตรงหน้าไม่มีผลต่อการตัดสินใจ ความนึกคิด นี่คือเผ่า WHAT IS

เผ่าที่สอง เมื่อปฏิบัติไปแล้วเริ่มตระหนักว่าผลของการปฏิบัตินั้น นำมาสู่อะไร เกิดอะไรขึ้นโดยเฉพาะในทางที่ไม่ถูกไม่ควรเกิดผลร้ายกระทบทั้งในระดับบุคคลและในระดับสังคมประเทศ เผ่านี้ WHAT HAPPENED
เผ่าที่สาม นอกจากตระหนักแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วและผลที่เกิดขึ้นเป็นไปในทางลบ ดังนั้น จะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของกระบวนการตัวหนังสือ กฎหมาย การประกาศข้อแนะนำในการประพฤติปฏิบัติ WHAT SHOULD BE
ดังนั้นถ้าเราพิจารณาถึงที่อาจารย์คนึงนิจ ได้กล่าวไว้เราจะพบว่า ถ้าคนไทยทั้งประเทศกลับกลายเป็นเผ่าที่สองและเผ่าที่สาม และสามารถรวมพลังปรับเปลี่ยนสังคมปรับปรุงประเทศได้

ประเทศกูจะมี....แต่ความเจริญ ความสุข ความมั่งคั่งน้ำใจ และความเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่

ทำไมเรื่องกัญชาสะท้อนให้เห็น ถึงความยึดติดในเผ่าที่หนึ่ง ของบุคคลและหน่วยงานที่มีอำนาจ ทั้งนี้ในบางท่านในอาชีพต่างๆ แสดงความเห็นในวงกว้าง และอาจนำมาซึ่งความขัดแย้ง โดยไม่ทราบเนื้อหาที่ถ่องแท้ โดยที่กรมการแพทย์ ได้มีการเตรียมการมาสองปี และจัดอบรมเป็นพันคนแล้ว

นักกฎหมายแสดงความเป็นห่วงว่าพืชกัญชาที่มาเป็นยาจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสายพันธุ์นั้น สายพันธุ์นี้ เอาส่วนไหนมา ดอกก็มี ต้นก็ได้ใบ ราก เมล็ด แล้วจะเรียกว่ายาได้อย่างไร จะปล่อยให้ออกมาได้อย่างไร ต้องสั่งเข้าดีกว่าเป็นมาตรฐาน ควบคุมได้หมดจด

แพทย์แผนปัจจุบันห่วงว่า จะรู้ว่ามีประโยชน์ได้อย่างไร ในเมื่อตำราก็ดีหรือวารสารที่ตีพิมพ์ โดยเฉพาะข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์อภิธาน (meta-analysis) ซึ่งใช้ดูผลตามสถิติ ก็บอกว่าใช้ได้สามสี่โรคเท่านั้น จะเอาไปใช้อย่างอื่นได้อย่างไร ไม่สนใจ

รายงานเป็นรายๆ เป็นกลุ่ม ไม่สนใจผู้ป่วยคนไทยที่ได้รับการรักษาด้วยกัญชาพื้นบ้านแล้วอยู่ได้ด้วยความสุข บรรเทาอาการทรมาน เริ่มช่วยตนเองได้ ไม่เป็นภาระ แทนที่จะลงไปหาความจริงให้เห็นกับตา เกิดอะไรขึ้น

และพร้อมกันนั้น แพทย์ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยแสดงความเป็นห่วงว่าแล้วจะอธิบายกลไกทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร?

ทั้งๆ ที่แม้ว่าคนไข้ที่เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา จะดีขึ้นจากกัญชาก็ตาม จะรอดจากกัญชาก็ตาม แต่อธิบายไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะใช้ กลายเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้องตามกระบวนการที่อธิบายได้วิทยาศาสตร์

แต่โดยเนื้อแท้พืชกัญชาที่เป็นยา เป็นทั้งต้น รากใบดอก ล้วนมีส่วนประกอบของสารต่างๆ ไม่เท่ากันและเป็นที่มาของการใช้ในสัดส่วนต่างๆ กัน ตามตำราของแพทย์แผนไทยหรือที่จารึกไว้แต่โบราณกาล

ลักษณะของการใช้ที่ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เรียกว่าใช้ทุกอย่างที่มาจากพืช full spectrum เป็นการออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของการสร้างสารกัญชาในร่างกายอีกทอด โดยผ่านตัวรับหลากหลายที่อยู่ในมนุษย์ตั้งแต่หัวจดเท้า ทุกเซลล์และทุกอวัยวะ และเลือกที่จะทำงานตามความเหมาะสม และสั่งงานให้มีการประสานกันของระบบต่างๆ

การวิเคราะห์วิจัยด้วยแบบแผนปัจจุบันยืนยึดถือตามหลักตายตัวว่า จะต้องใช้อะไร จากที่ใด ปริมาณแค่ไหน ในเวลาเท่าไหร่ และเปรียบเทียบผล แต่ไม่ได้ตระหนักถึงธรรมชาติของพืชกัญชาที่นำมาใช้เป็นยาและการตอบสนองซึ่งต่างกันในแต่ละคน แม้ว่าจะเป็นโรคเดียวกัน

คำอธิบายเบื้องลึกทางวิทยาศาสตร์จนปัจจุบันมีมากมาย โดยเป็นยอดปรารถนาของบริษัทยา และขอจดสิทธิบัตรพืชกัญชาในประเทศทั้งหมด

แต่แท้จริงแล้วการใช้ในคนป่วย ไม่ได้ยากเกินไปที่จะใช้ และประชาชนคนทั่วไปก็มีการใช้มาเนิ่นนานด้วยการปรับขนาดขึ้นลงของตนเองและสามารถอธิบายได้ตามหลักการของการออกฤทธิ์กัญชาในสมัยใหม่

โดยที่คนป่วย เหล่านี้ มักเป็นคนยากไร้ ยากจนที่สุดในประเทศหรือที่เข้าไม่ถึงการรักษาหรูหรา หรือไม่สามารถเข้าไปรอรับการรักษาในโรงพยาบาลซึ่งแออัดและหมอและพยาบาลหยิบมือไม่สามารถรับมือได้ อีกทั้งโรคก็มีระดับความซับซ้อน และแทรกซ้อนเกินกว่าความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่จะแก้ไขได้

และเป็นที่มา ที่คนยากไร้เหล่านี้พบหนทางในการรักษาตนเองให้พ้นจากความทรมานจนกระทั่งถึงหาย ที่ได้เห็นประจักษ์ชัดในคนป่วยต่างๆ ที่ถูกตราหน้าว่าใช้ของผิดกฎหมาย ใช้ยาเสพติด จนกระทั่งถูกจับ ปรับถูกเข้าคุก แม้ว่าเห็นอยู่ชัดเจนด้วยตาว่าเจ็บป่วย โดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ก็ตาม และปลูกสิบต้น ถูกกล่าวหาว่ามากเกิน โดยไม่เข้าใจว่า คนป่วยใช้ใบในการรักษาด้วย ไม่ใช่สกัดแต่น้ำมันจากดอก จนกระทั่งมีการอบส่วนต่างๆ หรือใช้ชงแบบน้ำชา ในการบรรเทาอาการปวด เครียด นอนไม่หลับ ในผู้สูงอายุในพื้นที่

เราควรละอายใจหรือไม่อย่างไร ที่เราอยู่ในที่ปลอดภัย และปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามตัวหนังสือ เถรตรง แต่ไม่ได้ช่วยกันทำให้ดีขึ้น ในสิ่งที่ควรจะเป็นและต้องเป็น

ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด ทางวิทยาศาสตร์ แพทย์ กฎหมาย สังคม ผู้บริหาร จำต้องนึกอยู่เสมอและใส่ใจว่าที่ทำอยู่ขณะนี้ทำเพื่อใครไม่ใช่ทำเพื่อตนเองอย่างเดียวแต่วิชาความรู้ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำเพื่อความยุติธรรมกับคนที่อ่อนด้อย ไร้โอกาส ไม่มีที่พึ่งให้พอลืมตาอ้าปากได้

และเราคนไทยทั้งประเทศควรจะนิ่งเฉยปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเช่นนั้นหรือ?

การใช้กัญชาเพื่อเป็นยา ขณะนี้รู้วิธีใช้ ข้อจำกัด ข้อควรระวัง วิธีใช้ไม่ให้ติด จนเกิดมีความเปลี่ยนแปลงในสมองบางตำแหน่ง ทั้งนี้ โดยมีกรรมพันธุ์ หรือ พันธุกรรมพิเศษที่เป็นตัวกำหนดให้เปราะบาง และพัฒนาจนมีโรคจิต

ความนิ่งเฉย (ทั้งๆ ที่ไม่ควรนิ่งเฉย) ทั้งความนิ่งเฉยของสังคมและของรัฐ คือ ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (Structural Violence) ที่มีรากลึกมาจากความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม (Cultural Violence) ยิ่งถ้าความนิ่งเฉยนั้นเกิดจากอวิชชาหรือความไม่รู้ (Ignorance) ก็ยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นอีก

สรุป Ignorance is toxic! (ดร.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม คณะนิติศาสตร์ จุฬา) เราถอยไปไม่ได้อีกแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น