สบส. ตรวจสอบ "คลินิกดังย่านรังสิต" ผ่าจมูกคนไข้ตายคาเตียง พบต่อเติมห้องผ่าตัดไม่ขออนุญาต เข้าข่ายคลินิกเถื่อน เรียกเจ้าของให้ข้อมูลช่วงบ่าย เผย 2 หมอ "มือผ่า-ดมยา" ไม่ได้ขอใบอนุญาตทำหัตถการหรือ ส.พ.6 แพทยสภารอชงข้อมูลฟันจริยธรรม แง้มเป็นแพทย์ รพ.รัฐ ส่งหนังสือ นพ.สสจ.ทั่วประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบ
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมด้วย ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดี สบส. นพ.อภิชน จีนเสวก รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ปทุมธานี ผศ.นพ.ต่อพล วัฒนา ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา และ นายมานะ บุญส่ง ผอ.ฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แถลงข่าวคลินิกเอกชนแห่งหนึ่งย่านรังสิต ผ่าตัดศัลยกรรมแก้ไขจมูกให้ผู้ป่วย โดยมีการดมยาสลบ จากนั้นผู้ป่วยเสียชีวิตภายในคลินิก
นพ.อภิชน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. สสจ.ปทุมธานีได้รับแจ้งว่ามีเหตุผู้เสียชีวิตในคลินิกใกล้กับตลาดรังสิต จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่จึงลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพบแพทย์ 4 คน ทั้งแพทย์ผู้ประกอบการ แพทย์ผู้ดำเนินการ แพทย์ผ่าตัด และแพทย์วิสัญญี จากนั้นได้ขอดูเวชระเบียนเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ข้อมูลว่า เคสนี้เป็นเพศหญิงอายุ 26 ปี นัดหมายภายผ่าตัดเสริมจมูก หลังค้นข้อมูลในโซเชียลมีเดีย โดยเข้าห้องผ่าตัดเวลา 10.00 น. ตัดกระดูกซี่โครงมาเสริมจมูก ต่อมาเวลา 13.00 น. เริ่มมีความผิดปกติ แพทย์วิสัญญี จึงแจ้งแพทย์ผ่าตัดว่าเกิดความผิดปกติ มีภาวะคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ เลือดเป็นกรด เวลา 14.20 น. สันนิษฐานว่าเกิดจากการแพ้ยาสลบ จึงให้การรักษาตามที่ร่ำเรียนมา จากนั้นเวลา 16.00 น. เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น โทรแจ้งสายด่วน 1669 มีทีมกู้ชีพฉุกเฉินขั้นสูงเข้ามาให้การช่วยเหลือ เนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้น จึงทำ CPR ประมาณ 1.30 ชั่วโมง แต่ไม่สามารถให้การช่วยเหลือได้ จึงยุติการทำ CPR เวลา 17.23 น. จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมแพทย์ชันสูตรมาถึงพื้นที่ก่อนส่งศพไปที่ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต
"จากการตรวจสอบเบื้องต้น คลินิกขออนุญาตเปิดสถานพยาบาลตั้งแต่ปี 2559 ประเภทไม่รับผู้ป่วยค้างคืน ล่าสุดหลังเกิดเหตุการณ์ กลับพบว่ามีการต่อเติมเปิดห้องผ่าตัด สภาพพบว่ามีเตียงผ่าตัด ถังแก๊สดมยา ไฟส่องสว่างผ่าตัด ถังออกซิเจน แต่เนื่องจากไม่มีการขออนุญาต จึงถือเป็นสถานพยาบาลเถื่อน จากนี้จะตรวจสอบเวชระเบียน เชิญเจ้าของคลินิกมาให้ข้อมูลช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อชี้แจงเหตุที่เกิดขึ้นตามขั้นตอน เพราะต้องให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย แต่จากข้อมูลพบว่า สถานพยาบาลนี้มีแพทย์ได้รับใบอนุญาต ส.พ.6 ที่เป็นหนังสือแสดงความจํานงเป็นผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลเพียง 1 คน และยังไม่ทราบว่าแอบเปิดห้องผ่าตัดมานานแค่ไหน มีแพทย์กี่คนที่มาผ่าตัด" นพ.อภิชนกล่าว
ด้าน ทพ.อาคม กล่าวว่า แพทย์ที่จะมาให้บริการในคลินิกหรือสถานพยาบาลต่างๆ ไม่ว่าจะผ่าตัดหรือผู้ดมยาสลบ จะต้องยื่นขออนุญาตใบ ส.พ.6 ถือเป็นหน้าที่ หากไม่ทำจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล มีโทษปรับ ขณะที่ผู้ดำเนินการสถานพยาบาลที่ต้องควบคุมดูแลผู้ประกอบวิชาชีพให้ปลอดภัย ดูแลสถานที่ให้ปลอดภัย ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดตามมาตรา 34 (4) ส่วนการต่อเติมสถานที่โดยไม่ขออนุญาต ถือเป็นสถานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พูดง่ายๆ คือ คลินิกเถื่อน โทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และส่งฟ้องต่อพนักงานสอบสวนต่อไป รวมถึงตรวจสอบเอาผิดเกี่ยวกับการโฆษณาโอ้อวด โฆษณาอันเป็นเท็จ มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท ขณะนี้ สบส.อยู่ระหว่างปรับแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มโทษให้หนักขึ้น โดยโทษปรับเพิ่มขึ้น 3 เท่า เช่น รพ./คลินิกเถื่อน ที่มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ก็เพิ่มเป็น 3 แสนบาท
เมื่อถามว่ากรณีแพทย์ไม่ได้ทำใบ ส.พ.6 ถือเป็นความจงใจ ละเมิดกฎหมายและไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดจริยธรรมของแพทยสภาหรือไม่ มีโทษอย่างไร ผศ.นพ.ต่อพล กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องมาดูว่า หากแพทย์ตั้งใจที่จะไม่ข้ออนุญาต แพทยสภามีแนวทางในการดำเนินงานของแพทย์ โดยกรณีนี้จะเป็นแนวทางการให้ยาสงบประสาทของแพทย์ในการทำหัตถการเกี่ยวการเสริมสวย โดยแพทย์ที่ปฏิบัติงานในคลินิกลักษณะดังกล่าวทั้งหมดต้องปฏิบัติตามแนวทาง ซึ่งพบว่ามีการละเมิดตามข้อบังคับ ก็จะมีความผิด ส่วนจะเป็นความผิดขั้นไหน ต้องมีการพิจารณา ภาพรวมมี 4 ขั้น คือ ตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ และเบิกถอนใบอนุญาต ซึ่งที่ผ่านมาจะเป็นการพักใช้ใบอนุญาต ส่วนกรณีเพิกถอนจะเกี่ยวข้องกับคดีความในชั้นศาล เช่น การฆาตกรรมผู้อื่น ดังนั้น กรณีนี้ต้องรอ สบส.สอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อนำมาประกอบพิจารณาโทษ
เมื่อถามว่าแพทย์ทั้ง 2 คน ทั้งแพทย์ผ่าตัด และแพทย์วิสัญญี เป็นแพทย์ที่ปฏิบัติงานใน รพ.รัฐ ด้วยหรือไม่ นพ.อภิชน กล่าวว่า เบื้องต้น รพ.รัฐ แต่ขอตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง
ด้าน นพ.สุระ กล่าวว่า วันที่ 15 มิ.ย. ทาง สบส.ได้ทำหนังสือเวียนแจ้งไปยัง นพ.สสจ.ทั่วประเทศ เพื่อให้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานพยาบาล คลินิกเอกชนที่ดำเนินการเวชกรรมต่างๆ ว่ามีการปฏิบัติ ตามที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องหรือไม่ เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่อย่างไร ซึ่งปกติมีการตรวจสอบอยู่แล้ว แต่จากนี้จะขอให้เคร่งครัดตรวจสอบมากยิ่งขึ้น
