อย.ร่วม สบส. INTERPOL ทลายเครือข่าย "มาเรีย คิม" เจ้าแม่ขายยาลดน้ำหนัก จับกุม 4 ผู้ต้องหา ตรวจยึดของกลางจาก 6 จุด พบยาลดน้ำหนัก ยาผสมไซบูทรามีน ฯลฯ กว่า 270 รายการ มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท พบรับยาลดน้ำหนักมาจาก "ยันฮีคลินิกเวชกรรม" ตรวจประวัติรักษาสั่งจ่ายยาผิดปกติในชื่อ Mrs.Gaukhar มีแพทย์แผนจีนสั่งจ่าย ทั้งที่จ่ายไม่ได้ เร่งเอาผิดสถานพยาบาลด้วย
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (ตำรวจสากล) สำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา (HSI) หน่วยงานสืบสวนอาชญากรรมข้ามชาติ (TCIU) สำนักงานกลางแห่งชาติตำรวจสากลกรุงเทพ (Interpol NCB Bangkok) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้จับกุมเครือข่ายลักลอบจำหน่ายยาลดน้ำหนักผสมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทข้ามชาติ ซึ่งขยายผลมาจากกรณีมาเลเซียและองค์การตำรวจสากล จับกุม Kussainova สัญชาติคาซัคสถาน มีชื่อในวงการขายยาลดน้ำหนักว่า "มาเรีย คิม" ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค. 2564 มีการจัดส่งยาลดน้ำหนักจากไทยผ่าน 3 เว็บไซต์ และมีการจับกุมยาชุดลดน้ำหนักในจีน ซึ่งมีลักษณะตรงกับยาลดน้ำหนักสูตรที่จำหน่ายโดยเครือข่ายของ มาเรีย คิม
หลังสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับ Mr. SHABIR สัญชาติปากีสถาน โดยเข้าตรวจค้นสถานที่เก็บและบรรจุยาลดน้ำหนัก จำนวน 2 จุด ภายในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ซอยอ่อนนุช 17 เขตสวนหลวง กทม. และจับกุมตัว Mr. SHABIR ตรวจยึดยาชุดบรรจุเสร็จ ยาไม่มีทะเบียนต้องสงสัยมีส่วนผสมของวัตถุออกฤทธิ์ ยามีทะเบียน กล่องพัสดุและซองบรรจุยา อุปกรณ์เอกสารที่เกี่ยวข้อง เมื่อสืบสวนขยายผลจนทราบถึงเครือข่ายจึงขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 4 ราย ได้แก่ 1. Ms.GAUKHAR สัญชาติคาซัคสถาน 2. Mr.Anthony สัญชาติฟิลิปปินส์ 3. น.ส.วรัญญา สัญชาติไทย และ 4.น.ส.พรเพ็ญ สัญชาติไทย โดยวันที่ 31 มี.ค. 2566 ได้ตรวจค้นสถานที่เก็บและบรรจุยาใน กทม. ปทุมธานี และประจวบคีรีขันธ์ รวม 4 จุด ดังนี้ บ้านพักอาศัย ม.8 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จับกุม Mr. Anthony , บ้านพักพื้นที่ชุมชนจันทร์เกษม 2 จุด ใน ซ.ประชานฤมิตร ถ.กรุงเทพนนท์ จับกุม น.ส.วรัญญา และบ้านพักอาศัยพื้นที่ หมู่ 7 อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จับกุม น.ส.พรเพ็ญ
"รวมตรวจค้น 6 จุด ตรวจยึดยาที่มีส่วนผสมวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ไซบูทรามีนกว่า 2,000 เม็ด, ยาไม่มีทะเบียนต้องสงสัยผสมวัตถุออกฤทธิ์ 104,000 เม็ด, ยามีทะเบียน 149,000 เม็ด, ยาชุดลดน้ำหนักพร้อมส่งให้กับลูกค้า 26 ชุด 5,400 เม็ด, แคปซูลเปล่าคละสี 90,500 แคปซูล, กล่องพัสดุและซองยา 10,000 ชิ้น วัตถุดิบที่ใช้ผลิตยาลดน้ำหนัก พยานหลักฐานอื่น รวม 272 รายการ มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท ตำรวจได้เก็บตัวอย่างยาของกลางแต่ละจุดส่งตรวจกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลพบมีไซบูทรามีนผสม จึงแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม คือ ร่วมกันจำหน่ายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์และยารวมกันหลายขนาน โดยจัดเป็นชุดไว้ล่วงหน้า ส่วนยาของกลางที่ตรวจยึดจากจุดอื่นๆ อยู่ระหว่างรอผลตรวจ หากพบวัตถุออกฤทธิ์ผสมจะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม" นพ.ไพศาลกล่าว
นพ.ไพศาลกล่าวว่า ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ โดย Mr.SHABIR และ Mr.Anthony รับว่ามาเรีย คิม เป็นผู้สั่งการ ให้บรรจุยาและส่งให้ลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศ รับค่าจ้างเดือนละ 20,000-25,000 บาท ส่วน น.ส.วรัญญา และ น.ส.พรเพ็ญ รับว่ามาเรีย คิม ได้สั่งซื้อยาลดน้ำหนักและผลิตภัณฑ์ยาอื่นๆ จากตน เมื่อได้รับออเดอร์ก็จะไปจัดหายาตามแหล่งขายต่างๆ และจัดส่งให้กับ Mr. SHABIR และ Mr.Anthony ผลตอบแทนที่ได้คือการบวกกำไรจากยอดสั่งซื้อในแต่ละครั้ง จากการทลายเครือข่ายพบว่า มีการส่งยาลดน้ำหนักไปขายต่างประเทศรวมกว่า 34 ประเทศ มากกว่า 600 ครั้ง เช่น สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, อังกฤษ, จีน และมาเลเซีย เป็นต้น ตั้งแต่ ม.ค.-มี.ค. 2566 มียอดเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 3 ล้านบาท โดยมาเรีย คิม ยังเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงประสานองค์กรตำรวจสากลจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ทั้งนี้ ในการตรวจค้นห้องพัก Mr.SHABIR พบพยานหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงินของสถานพยาบาลยันฮีคลินิกเวชกรรม จำนวนมาก จึงสืบสวนขยายผลถึงแหล่งที่มาของยาลดน้ำหนัก พบว่า มาเรีย คิม ได้ว่าจ้างให้เอเยนต์ชาวไทยเปิด OPD กับทางสถานพยาบาลเพื่อให้ได้ เลขประจำตัวผู้ป่วย (เลข HN) จากนั้นจะให้ Mr.SHABIRฯ โทรสั่งซื้อยาลดน้ำหนักจากสถานพยาบาล โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของ รพ.นำยามาให้ ซึ่งขั้นตอนทั้งหมด Ms.GAUKHAR ไม่ได้พบแพทย์เพื่อตรวจรักษาแต่อย่างใด เมื่อกลุ่มผู้ต้องหารับยาลดน้ำหนักจากสถานพยาบาลยันฮีคลินิกเวชกรรม แล้ว ผู้ต้องหาจะนำไปจัดเป็นชุดและส่งขายต่อให้ผู้บริโภคอีกทอด จึงร่วมกันเข้าตรวจสอบสถานพยาบาลดังกล่าว ตรวจยึดเอกสารประวัติการเข้ารักษา เลขประจำตัวผู้ป่วย ระบุชื่อ Mrs.GAUKHARฯ พบว่า ประวัติการเข้ารักษา มีการสั่งจ่ายยากลุ่มสมุนไพรและยาแผนปัจจุบันให้ผู้ป่วยตั้งแต่ ปี 2557 – 2566 จำนวน 113 ครั้ง (ปี 2565 จำนวน 78 ครั้ง, ปี 2566 จำนวน 20 ครั้ง) ซึ่งมีความถี่สูง และมีจำนวนปริมาณยาที่มากผิดปกติกว่าการจ่ายยาให้ผู้ป่วยเฉพาะราย
จากการตรวจสอบรายชื่อแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาแผนปัจจุบันให้แก่กลุ่มผู้ต้องหา พบว่า แพทย์ผู้สั่งจ่ายยาเป็นแพทย์แผนจีน ซึ่งตามกฎหมายไม่สามารถจ่ายยาแผนปัจจุบันให้แก่ผู้ป่วยได้ จึงได้ตรวจยึดยาไม่มีทะเบียน และพยานหลักฐานอื่น รวม 15 รายการ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา ฐานร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยพนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดได้แก่ ผู้ดำเนินกิจการสถานพยาบาลของ ยันฮีคลินิกเวชกรรม และแพทย์แผนจีนที่สั่งจ่ายยาให้แก่ผู้ป่วยต่อไป