xs
xsm
sm
md
lg

2 ผู้บริหาร เอสเทค ฟาร์มา และ ฮูเจล อิงค์ ร่วมทุนเจาะตลาด “ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจความงามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จากการประชุมทางการแพทย์ Hugel Expert Leader’s Forum 2023 หรือ H.E.L.F 2023 ภายใต้แนวคิด Toward Genuineness : In Pursuit of Aesthetic Strategies for All Ages เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีวิทยากรเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านความงามจากไทยและเกาหลี ร่วมส่งต่อองค์ความรู้และเสริมเทคนิคการแพทย์ทางด้านความงามให้แก่คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกกว่า 300 คนจากทั่วโลก ได้สร้างความตื่นตัวแก่วงการแพทย์ ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม รวมทั้งองค์ความรู้ใหม่และเทรนด์นวัตกรรมความงามเพื่อคนทุกเพศทุกวัยอย่างน่าสนใจ ตลอดจนจุดประกายต่อความมุ่งหวังที่จะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความงามและสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในตลาดระดับโลก


จากการเปิดเผยของ คุณกสิกิจ พ่วงภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเทค ฟาร์มา จำกัด ผู้นำเข้ายาและเครื่องมือแพทย์จากทั่วโลกรวมทั้งผลิตภัณฑ์สารลดเลือนริ้วรอยแบรนด์ เอสทอกซ์ ( Aestox ) และ คุณจุน ลี กรรมการผู้จัดการ แผนกธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ฮูเจล อิงค์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทยาชั้นนำจากเกาหลีใต้ สองบริษัทใหญ่มีชื่อเสียงและคุณภาพในการเป็นผู้แทนจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม หันมายกระดับความร่วมมือ ปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความงามและสุขภาพ เดินหน้าตะลุยตลาดความงามในประเทศไทยและเอเชีย พร้อมตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยผลิตภัณฑ์เสริมความงามคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในตลาดระดับโลก ด้วยการรับรองมาตรฐานสูงสุดจากทั่วโลก “งาน HELF เป็นงาน World congress เพราะว่าเราจัดเฉพาะประเทศที่เป็นผู้นำหรือ Leader เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นฝั่งยุโรป รัสเซีย ลาตินอเมริกา จะจัดในประเทศใหญ่ๆ ทั้งนั้น รวมถึงที่เมืองจีนและเกาหลีด้วย ซึ่งปีนี้ประเทศไทยเราได้รับเกียรตินั้น โดย Concept ในปีนี้เราอยากจะผลักดันให้ทุกประเทศยอมรับในศักยภาพของหมอไทยซึ่งเก่งไม่แพ้หมอชาติไหนในโลก อีกทั้งยังต้องการยกระดับให้ประเทศไทยเราเป็น Hub ในเรื่องของ Medical ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง ซึ่งงานนี้คุณหมอวิทยากรหลักนอกจากจะเป็นหมอเกาหลีผู้เชี่ยวชาญแล้วก็มีหมอไทยจากโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แล้วก็คุณหมอที่มีประสบการณ์สูงอีกหลายท่าน เราต้องการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านการแพทย์ ซึ่งอยากให้ลูกค้าเราที่มีอยู่ทั่วโลกได้รู้ถึงศักยภาพความรู้และความสามารถที่เก่งของหมอไทย โดยมีเรื่องของความรู้ใหม่ๆ นวัตกรรมความงามและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่อยากแบ่งปันด้วยกับองค์ความรู้ของหมอไทย หมอเกาหลีที่มีชื่อเสียงในการเป็นผู้นำเทรนด์อุตสาหกรรมความงาม บริษัทเอสเทค ฟาร์มาของเราเองก็เร่งขยายการขายผลิตภัณฑ์สารลดเลือนริ้วรอย

และฟิลเลอร์ไปทางยุโรป จีน รัสเซียและละตินอเมริกาในตอนนี้ ซึ่งเราอยากให้หมอจากทั่วโลกได้มาที่ประเทศไทยเพื่อมาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางการแพทย์เพราะเราตระหนักถึงศักยภาพความรู้และความสามารถของหมอไทยที่เก่ง เพราะฉะนั้นเราทั้งสองบริษัทต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าประเทศไทยมีความเหมาะสมและความพร้อมหลายอย่างที่จะผลักดันให้ไทยเรากลายเป็นศูนย์กลางด้านความงามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแน่นอนว่าคุณหมอเหล่านั้นทั้งหมอไทยและหมอจากทั่วโลกก็จะได้รับโอกาสความก้าวหน้าทางวิชาชีพแพทย์ร่วมไปกับความเติบโตของบริษัททั้งสองบริษัทนี้ไปกับเราในอนาคตที่วางไว้” 


คุณกสิกิจยังได้กล่าวให้ความกระจ่างชัดเจนต่อข้อสงสัยที่ว่าการใช้สารลดเลืิอนริ้วรอยในการแพทย์ไทยนั้นจะทำได้อย่างไรด้วยว่า “ปัจจุบันสารลดเลือนริ้วรอยมีหลายแบรนด์ แต่ว่าแบรนด์ของเอสเทค ฟาร์มา ของเราเป็นแบรนด์ที่ได้รับมาตรฐานคุณภาพ Certified จากยุโรป ( EU approved ) และเป็นเจ้าเดียวที่ได้รับ Certified ของจีนด้วย รวมทั้งของเกาหลีและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้จะเป็นหลักประกันความมั่นใจและความไว้วางใจในการเลือกซื้อใช้ผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าหรือผู้บริโภคได้เลือกสินค้าที่ดีมีคุณภาพมาใช้ได้อย่างมั่นใจและมีความปลอดภัย ซึ่งเราเป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นผลงานการวิจัย นวัตกรรมหรือความรู้ใหม่ในทางวิชาการด้วย เวทีการประชุมทางการแพทย์ครั้งนี้จึงเป็นเวทีให้หมอไทยและหมอทั่วโลกได้นำความรู้ใหม่ๆ มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ตาม Concept หลัก คือ ความปลอดภัย ( Safety ) ศักยภาพ ( Potency ) ประสิทธิภาพ ( Efficacy ) ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ถึงความปลอดภัยเป็นหลักเพราะผลิตภัณฑ์ของเราเป็น ‘ยา’ ซึ่งบรรดาอาจารย์หมอ หมอเก่งจากแต่ละภูมิภาคของปไทยทั้งจากจุฬาฯ จากศิริราช มาเป็นวิทยากรคู่กับอาจารย์หมอของเกาหลี มีการทำวิจัยและพัฒนาเทคนิคการฉีดหรือว่าการเติมเต็มสารเติมเต็มต่างๆ ใหม่อยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ก็จะได้ถ่ายทอดให้คุณหมอเอาไปใช้ได้เกิดผลสูงสุด ซึ่งเรามีเทคนิคและความแตกต่างในการฉีดสารลดเลือนริ้วรอยกับสารเติมเต็มต่างๆ ที่จะเน้นย้ำและให้ความรู้กับหมอไทยด้วย เช่นถ้าเป็นทางด้านสารลดเลือนริ้วรอย ก็เน้นไปที่การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ถ้าเป็นเทคนิคการฉีดสารเติมเต็มต่างๆ ก็เน้นที่เนื้อเยื่อเล็กๆ แต่ส่วนการฉีดสารเติมเต็มต่างๆ นั้น ความจริงของผิวหนัง กล้ามเนื้อของคนเราก็เหี่ยวย่นตามวัยตามอายุที่มากขึ้น ผิวหนังใต้ตาก็เหี่ยวย่นยุบลง แล้วเราจะฉีดสารเติมเต็มเข้าไปเพื่อช่วยให้ผิวหนังแลดูเต่งตึงขึ้นมา ซึ่งมันจะมีชั้นที่สำคัญในของเนื้อเยื่อในการฉีด ต้องฉีดในชั้นผิวหนังที่ถูกต้อง เพื่อให้เห็นผลแล้วก็ดูดีที่สุดปลอดภัยที่สุด เรื่องนี้บริษัทผู้แทนจำหน่ายยาและเครื่องมือแพทย์อย่างเรา เข้าใจและตระหนักดีถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภค”

ระหว่างนี้คุณกสิกิจ ผู้บริหารบริษัทเอสเทค ฟาร์มา ยังคงขยายความถึงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ แก่หมอไทยอีกหลายท่านที่ให้ความสนใจ พร้อมกับกล่าวถึงโอกาสในการร่วมมือกับบริษัท ฮูเจล อิงค์ จำกัด ของคุณจุน ลี จากเกาหลี ว่า “จุดประสงค์หลักของการที่เรามองถึงความร่วมมือที่มากขึ้น พราะนอกจาก บริษัทของเราจะรู้จักกันมามากกว่า 10 ปี เราก็มั่นใจในกันและกัน อย่างตัวผม ผมก็ต้องการหาผลิตภัณฑ์ที่มาตอบโจทย์ว่าเราสามารถทำตลาดในเมืองไทย ทำให้ได้ของดีๆ มาให้กับประเทศไทยได้เลือกใช้ ซึ่งผมก็ค้นหาผลิตภัณฑ์มาอย่างยาวนาน จนมารู้จักบริษัท ฮูเจล อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก แล้วเขาก็ให้โอกาสผม ซึ่งตอนนั้นบริษัทของผมเป็นเพียงบริษัทเล็กๆ เมื่อเทียบกับบริษัทฮูเจลของคุณจุน ลี เราก็ใช้ทั้งความอดทนต่อสู้มาตลอด จนถึงวันนี้ที่เราเป็นเบอร์ 1 ในประเทศไทย เราใช้กลยุทธ์ win win strategy ตัวผมเองก็มีความเชี่ยวชาญในตลาดเรื่องของความงามมากกว่า 10 ปี มันก็เหมือนกับมือซ้ายมือขวา เมื่อเราจับมือกันขึ้นมา ธุรกิจมันก็จะเข้มแข็งขึ้น เมื่อเราเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยแล้ว จุดหมายถัดไปของเราคือการขยายไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างเจรจาหารือกันอยู่ครับ ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความน่าเชื่อถือในคุณภาพของสินค้า อย่าง บริษัทฮูเจล อิงค์ นี่กว่าเขาจะคัดเลือกพันธมิตร กับเขาสักคนสักบริษัท เขาใช้เวลา 10 ปีในการเฝ้าสอดส่องจับตาเอาใจใส่ดู ซึ่งเราก็ใช้เวลาศึกษากันมาค่อนข้างนาน ภายในปีนี้น่าจะมีความคืบหน้าให้ผู้บริโภคในประเทศไทยมั่นใจได้ว่าเรามีความแข็งแรง มีมาตรฐานระดับโลกและเราลุยตลาดนี้จริงจังแน่นอน เราจะทำให้บริษัทมั่นคงยั่งยืนขึ้นไป ทำให้คุณหมอคนไทยและผู้บริโภคคนไทยมีความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และในเรื่องของ Profit Sharing เท่าเทียมกันอีกด้วยครับ” 


มาถึงจุดนี้บรรดาคุณหมอไทยและผู้บริโภคคนไทยเราส่วนใหญ่ คงมั่นใจได้ว่าภายใต้ชื่อเสียงและคุณภาพของบริษัทเอสเทค ฟาร์มา จะมีผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์ความงามที่ปลอดภัย ใช้ได้อย่างถูกวิธี ควบคู่ไปกับความเติบโตของธุรกิจการตลาดสุขภาพและความงาม “กว่า 10 ปีที่อยู่ในวงการนี้ ในประเทศไทยมีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ในอดีตผู้บริโภคลังเลหรือขาดความมั่นใจที่จะใช้ผลิตภัณฑ์นี้ เพราะกลัวการฉีดสารลดริ้วรอยหรือสารเติมเต็มต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ที่ใช้ก็เริ่มเห็นว่าผลิตภัณฑ์นี้มีประสิทธิภาพ เห็นผลได้ในเชิงรูปธรรม ปัจจุบัน เรามีโครงการคัดเลือกคุณหมอมาเป็นผู้ให้ข้อคิดเห็นของเรา มารับการ Training ให้สามารถดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการคืออะไร แล้วผลิตภัณฑ์ของเราสามารถตอบโจทย์ได้ตรงไหนบ้าง เราอยากจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ตั้งแต่ก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะมาถึงคุณ เรื่องของคุณหมอที่ดูแล เรื่องของมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่เป็น World Class Standard แล้วก็เรื่องของความปลอดภัยและประสิทธิภาพ เรามีการ Training ให้กับคุณหมอ จะใบรับรอง ( Certificated ) ว่าได้รับการเทรนนิ่งจากเรา ยิ่งถ้าอีกหน่อยเราเป็นบริษัทที่เป็น Joint Venture แล้ว เราจะยกระดับการอบรมขึ้นไปอีก เพื่อให้เกิดความมั่นใจของผู้บริโภคว่า คลินิกไหนก็ตามที่เราให้ใบ Certificated ไปแล้ว สามารถดูแลคุณได้อย่างดี คลินิกที่ได้ ‘ใบเซอร์’ หรือ Certificated จากเรา ลูกค้าของเราเราจะมีการประกาศใน Website เราด้วย เพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาว่าเรามีตัวตนได้”

กว่าที่บริษัทเอสเทค ฟาร์มา ของคุณกสิกิจ จะก้าวเข้ามาสู่ความสำเร็จและได้รับความไว้วางใจจากบริษัท ฮูเจล อิงค์ ยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ความงามจากเกาหลี กระทั่งนำมาสู่ความร่วมมือกันในวันนี้ บริษัทของคนไทยและคนเกาหลี ได้เรียนรู้ความผันผวนและความเติบโตในตลาดความงามที่มีแนวโน้มดีดตัวพุ่งขึ้นอย่างน่าพึงพอใจ “ปีนี้เราเป็นเบอร์ 1 ในประเทศไทยและผมอยากฝากให้ผู้บริโภคที่สนใจดูแลตัวเอง จะเลือกใช้สารลดเลือนริ้วรอยว่าต้องดูที่ผลลัพธ์และเรื่องของความปลอดภัยเป็นสำคัญ” 


ด้าน คุณจุน ลี กรรมการผู้จัดการ แผนกธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ฮูเจล อิงค์ จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือกับบริษัทเอสเทค ฟาร์มา ว่า “การจัดงานในครั้งนี้เป็นการนำความรู้ ทางด้านเทคนิคและในเรื่องของวิชาการ เกี่ยวกับเรื่องของความงาม ต่าง ๆ มาแบ่งปัน ให้กับทางประเทศไทย จะได้เป็นการช่วยขยายความรู้และอัพเดทความรู้ใหม่ๆ ให้คุณหมอได้ทราบ เอาความรู้ใหม่ๆ มาทำให้เกิดความพึงพอใจและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่ดูแลเรื่องสุขภาพและเรื่องของความสวยความงาม ซึ่งเรามองเห็นว่าตลาดไทยเป็นตลาดที่มีความสำคัญที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทของเราเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางด้านผิวหนังและความงาม การให้ทรีทเม้นท์เพื่อดูแลแบบองค์รวมควรจะมีเทคนิคอย่างไรบ้างให้ประสานกัน เพราะมีทั้งเรื่องของศาสตร์ลดริ้วรอย สารเติมเต็ม ร้อยไหม หรือว่ามีในเรื่องอื่นๆ ประกอบกัน เพราะฉะนั้นจึงอยากคุยในเรื่องนวัตกรรมและเทคนิค องค์รวมความงามที่แท้จริง ส่วนในอนาคตอยากที่จะผลักดัน เผยแพร่ความรู้ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีการจับมือร่วมกับทางเอสเทค ไม่ว่าจะเป็นสารลดเลือนริ้วรอยหรือสารเติมเต็มและเรื่องร้อยไหมด้วย จริงๆ แล้ว มีผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่มากมายเลย ที่สามารถที่จะนำมาช่วยในเรื่องของความงามของคนไทยได้ โดยเราเน้นเรื่องเทคนิคเรื่องของประสิทธิภาพสูงสุดและเรื่องความปลอดภัยด้วย ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ต้องเกิดควบคู่กันไม่สามารถตัดอันใดอันหนึ่งได้”

คุณจุน ลี ยังกล่าวถึงความมั่นใจที่ได้ทำงานร่วมกับบริษัทเอสเทค ฟาร์มา ของไทย แม้จะเป็นเพียงบริษัทเล็กเมื่อเทียบกับบริษัทใหญ่จากเกาหลีของเขา แต่ทั้งเอสเทค ฟาร์มาและฮูเจล อิงค์ ก็เป็นเสือซ่อนเล็บที่คร่ำหวอดในวงการนี้มานานนับ 10 ปี “ การที่ได้มาร่วมงานจับมือกันกับทางเอสเทค ทำให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับทางตลาดและผู้บริโภค เหมือนกับการขยายตลาดมาทางประเทศไทย นอกจากนั้นเอสเทคก็จะเรียกว่าเป็น Exclusive Distributor เป็นผู้จัดจำหน่ายเพียงผู้เดียวของยี่ห้อนี้ของแบรนด์นี้ และคิดว่าสามารถสร้างโอกาสได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาตลาดในเมืองไทย สามารถที่จะจับมือกับทางคุณหมอในเมืองไทย ทำอุตสาหกรรมความงามที่ดีขึ้นได้ แบรนด์อื่นๆ อาจจะเพียงแค่หาผู้แทนจำหน่าย แต่ว่าทาง ฮูเจล มองว่าการยกระดับความร่วมมือกับเอสเทคที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต จะทำให้เกิดการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ทำให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือไม่ได้มองแค่ตลาดไทย แต่มองว่าขยายไปจะเป็นแชมป์ในภูมิภาคนี้ ซึ่งการที่จับมือมันจะทำอะไรได้มากกว่าการที่จะมาแค่หาผู้แทนจำหน่าย เราสามารถทำ Critical Study การวิจัยเชิงคลินิกได้ง่ายขึ้น การจับมือกันในครั้งนี้จะส่งเสริมให้เราสามารถทำ Marketing Campaign ขยายไปในภูมิภาคได้อย่างง่ายขึ้น ตรงนี้น่าจะเป็นจุดแข็งที่เอาชนะแบรนด์อื่นได้ ที่ไม่ได้แค่การมีตัวแทนจำหน่าย ตรงนี้ตรงนั้น แต่เราต้องการให้ไทยเป็น Hub จริงๆ แล้วก็สามารถที่จะเสริมคุณค่า เพิ่มมูลค่าได้ ตลาดไทยสำคัญมาก จะเป็น Hub ให้กับทางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นที่มาของการ Joint Venture ต้องทำอะไรให้มันกระชับมากขึ้น ไม่ใช่เป็นแค่ความสัมพันธ์แบบธรรมดา ต้องแข็งแกร่งขึ้นเพราะแนวโน้มของ Concept ในเรื่องความงามของคนไทยคล้ายกับคนเกาหลีมาก เกาหลีเป็น Hub ของเอเชียไปแล้ว เมืองไทยน่าจะเป็น Hub ของ South East Asia ได้ ไปในทางเดียวกัน เราก็มองว่าการพัฒนาตลาดน่าจะเป็นไปในทางเดียวกัน เกาหลีเคยพัฒนามาเป็นศูนย์กลาง คนไทยก็น่าจะพัฒนาไปในแนวทางนั้นเหมือนกัน นอกจากนั้น คุณหมอไทยค่อนข้างเก่ง ต่างจากในหลายๆ ประเทศที่มีผลิตภัณฑ์ดีก็ฉีดเข้าไป แต่ว่าคุณหมอไทยเก่งทางด้านเทคนิคด้วย แล้วก็เรื่องของกายวิภาค (Anatomy) ค่อนข้างเก่ง เพราะฉะนั้นคิดว่าการร่วมมือกับหมอไทย น่าจะเป็นไปได้ด้วยดี อีกทั้งเราเป็นผลิตภัณฑ์จากเกาหลีเป็นตัวแรกๆ เลย ที่เข้าตลาดยุโรปและได้การยอมรับ เพราะฉะนั้นจึงมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์ได้อยู่แล้ว และนอกจากนั้นเรามี Data ต่างๆ ในเรื่องของการทดลอง ทางคลินิกต่างๆ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยในเรื่องของความปลอดภัย แล้วนอกจากนั้นยังมีการให้ Training ตลอดเวลา มีการอบรมตลอดเวลา ถือเป็นจุดเด่นของเรา ซึ่งเราให้ความสำคัญกับการเทรนคุณหมอในเมืองไทยมาก เพื่อที่จะได้ให้คำแนะนำที่ดีกับลูกค้าได้ เราเทรนด์คุณหมอ คุณหมอก็จะไปให้ความรู้กับคนไข้ต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย” 


ปัจจุบันธุรกิจความงามเติบโตรุดหน้าอย่างก้าวกระโดดในหลายประเทศ เป็นที่เข้าใจกันดีว่าไทยมุ่งพัฒนาความเป็น Medical Hub ตอบรับกระแส Medical Tourism จึงคาดการณ์ได้เลยว่าอนาคตของไทยจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มนักลงทุนมากขึ้นในแง่ของการทำตลาดด้านความสวยความงาม รวมถึงความร่วมมือกันของบริษัทอย่างเช่นความร่วมมือของ 2 บริษัทนี้ ที่จะประสบความสำเร็จเช่นอุตสาหกรรมความงามของเกาหลีได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายปลายทางอันดับหนึ่งของผู้รับบริการศัลยกรรมความงามจากทั่วโลก ซึ่งสิ่งที่เป็นหัวใจในการผลักดันอุตสาหกรรมด้านนี้ของไทยให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจความงาม ก็คือพัฒนากระบวนการบริการรักษาที่สะอาดปลอดภัย พร้อมกับบุคลากรทางการแพทย์ต้องมีใบรับรองความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการกำกับดูแลทางคลินิกความงามที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากสถาบันที่มีชื่อเสียงมีมาตรฐานสากล โดยเฉพาะคุณภาพความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามนั่นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น