นักวิชาการ คณะวิทย์ มธ. แนะแนวทางขนส่งฝุ่นแดงซีเซียมจากระยองกลับปราจีนบุรี อย่างปลอดภัย ป้องกันเหตุสุดวิสัย ยึดหลักจัดเก็บมิดชิด รัดกุม มีอุปกรณ์ที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับได้
เมื่อวันที่ 22 มี.ค. รศ.ดร.พีระศักดิ์ เภาประเสริฐ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงการขนส่งฝุ่นแดงที่มีซีเซียม-137 ปนเปื้อน หลังถูกหลอม จากโรงงาน จ.ระยอง กลับไปยังโรงหลอม จ.ปราจีนบุรี ว่า กระบวนการขนย้ายข้ามจังหวัด ซึ่งมีความเสี่ยงที่น่ากังวล และมีความจำเป็นต้องมีแผนการทำงานที่รัดกุม และประกาศให้ประชาชนได้รับรู้ อีกทั้ง ควรมีเครื่องวัดสารกัมมันตรังสีติดตัวว่า ขณะเคลื่อนย้ายมีความเข้มข้นของสารอยู่ในระดับใด และเจ้าหน้าที่ควรต้องสวมชุดและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานขณะปฏิบัติงานอยู่ใกล้วัตถุรังสีด้วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการกระบวนทำงาน ที่เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบทางสังคม ซึ่งจะช่วยลดข้อกังวลของภาคประชาชน ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย ภาครัฐควรนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่มีความน่าเชื่อถือ มีข้อมูลสนับสนุนทางวิชาการ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และสื่อสารผ่านศูนย์ปฏิบัติการฯ เฉพาะกิจ ที่จัดตั้งโดยรัฐบาล โดยนำเสนอข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อป้องกันความสับสน และสร้างความเชื่อมั่นภาคประชาชน
ดร.รุจิภาส บวรทวีปัญญา อาจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์ คณะวิทย์ มธ. กล่าวว่า โดยปกติสารซีเซียม เมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง ค่ากัมมันตรังสีจะลดน้อยลงตามลำดับตามค่าครึ่งชีวิตของสารกัมมันตรังสี และต้องผ่านกระบวนการกำจัดโดยหน่วยงานของภาครัฐ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นกรณีสุดวิสัย แต่ยังคงต้องอาศัยกระบวนจัดเก็บหรือกำจัดอย่างปลอดภัย และยังมีความจำเป็นต้องการจัดโซนนิ่งแยกพื้นที่ปลอดภัย และพื้นที่เป็น 3 ระยะ คือ สีแดง คือ ระยะอันตราย สีเหลือง คือ ระยะปลอดภัยสำหรับผู้ปฏิบัติหน้าที่ และสีเขียว คือ ระยะปลอดภัยสำหรับบุคคลทั่วไป ไม่เข้าใกล้ก็ไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องปฏิบัติงานไม่ควรเกิน 20 มิลลิซีเวิร์ตต่อปี ขณะที่ประชาชนไม่ควรเกิน 1 มิลลิซีเวิร์ตต่อปี โดยสามารถสังเกตอาการไม่พึงประสงค์ได้ กรณีที่ได้รับสารโดยตรงในปริมาณมากจะมีอาการแสบผิว วิงเวียนศรีษะ อาเจียน สามารถพบแพทย์เพื่อตรวจสารกัมมันตรังสีในเลือดได้ ทั้งนี้ ปริมาณสารดังกล่าวในปัจจุบันมีเพียง 0.4-0.5 มิลลิกรัมเท่านั้น ซึ่งถือเป็นปริมาณที่น้อยมากหากเทียบกับเหตุการณ์เชอร์โนบิล
ดร.ณัฐฐา แสงนรินทร์ เหมจินดา อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทย์ มธ. กล่าวว่า แม้สารซีเซียม 137 จะถูกเผาและแปรสภาพเป็นผงฝุ่นสีแดงแล้ว ยังคงมีคุณสมบัติไม่ต่างจากลักษณะแท่งสามารถแผ่รังสีได้ ซึ่งความน่ากังวลของเหตุการณ์คือ ผงฝุ่นสีแดงที่เกิดขึ้นหลังการหลอม ถูกพบบรรจุในถุงบิ๊กแบ็กเพียง 90% และอีก 10% ที่ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ และยังคงคุณสมบัติเดิม ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและตระหนักรู้แก่ภาคประชาชน ภาครัฐจึงควรออกมาให้ความรู้และสร้างฐานข้อมูลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จำเป็น อาทิ พื้นที่ที่มีการใช้สารดังกล่าว ระดับความเข้มข้นของสาร ระยะการใช้งานของสาร ฯลฯ หากบริเวณใกล้เคียงมีการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ จะสามารถดูดซึมสารซีเซียมและสะสมในเนื้อเยื่อได้ ในที่สุดจะมีโอกาสปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหาร ขณะเดียวกัน อยากย้ำเตือนประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ยังคงสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และติดตามข่าวสาร โดยเฉพาะค่าปริมาณรังสีรายวันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย