xs
xsm
sm
md
lg

ทำความเข้าใจ "ท้องลม" เหตุสารพันธุกรรมผิดปกติ แม่มีปัญหาสุขภาพ ต้องแก้ไขก่อนตั้งครรภ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สูตินรีแพทย์แจง "ท้องลม" เกิดจากสารพันธุกรรมผิดปกติในกระบวนการแบ่งตัว หลัง "ไข่และสเปิร์ม" ผสมกัน บางคนแม่เป็นโรค มีปัญหาสุขภาพ เช่น เบาหวาน ไตเรื้อรัง โรคแทรกซ้อน ทำให้อาหารไม่พอไปเลี้ยงตัวอ่อนจนตาย เหลือแต่ถุงตั้งครรภ์ ย้ำต้องรักษาสุขภาพก่อน ส่วนน้อยเกิดจากกรรมพันธุ์ แนะเตรียมความพร้อมก่อนท้อง หากทำงานหนัก อดหลับอดนอน เครียด เสี่ยงแท้งง่าย งดชา กาแฟ เลิกบุหรี่เหล้า กินโฟลิกก่อนท้อง 3 เดือน

เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีการ "ท้องลม" ว่า การท้องลมเป็นการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ ซึ่งตามปกติแล้วการตั้งครรภ์จะมี "สเปิร์ม" และ "ไข่" มาผสมกัน และมีการแบ่งตัวจากเซลล์เดียวเล็กๆ กลายเป็นหลายๆ เซลล์ โตขึ้นคล้ายๆ ลูกน้อยหน่าและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยจะพัฒนาไปเป็นเด็กส่วนหนึ่งและรกอีกส่วนหนึ่ง แต่หากกระบวนการเกิดปัญหา เมื่อมีการแบ่งตัวไปถึงระยะหนึ่งแล้วตาย ตัวเด็กก็จะสลายไป เมื่ออัลตราซาวนด์หรือตรวจด้วยเครื่องมือต่างๆ ก็จะเห็นแค่ถุงของการตั้งครรภ์ แต่หาตัวเด็กไม่เจอ หรืออาจหาตัวเด็กเจอ แต่อาจจะเป็นแค่ซาก ไม่เห็นเป็นตัวเด็ก หรือเห็นเป็นก้อนลอยๆ อยู่ บางคนเรียกว่า "การแท้งค้าง" แต่การค้างนานๆ ก็จะมองไม่เห็นเป็นก้อนแล้วก็จะเรียกว่า ท้องลม

"ปัญหาพวกนี้ส่วนใหญ่เกิดจากสารพันธุกรรมที่ผิดปกติ คือ เมื่อมีการผสมไข่และสเปิร์มจะมีการเอาสารพันธุกรรมมาผสมกัน เพื่อจะพัฒนากลายเป็นโครโมโซมที่จะไปควบคุมการเจริญเติบโต บางคนอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญกระบวนการพัฒนาผิดปกติเฉพาะในครั้งนั้น ทำให้เพี้ยนแบ่งตัวไม่ได้และตาย ส่วนบางคนแม่อาจเป็นโรค ซึ่งเมื่อไข่และสเปิร์มผสมกันต้องมีอาหารไปเลี้ยงถึงโตขึ้น แต่แม่ที่เป็นเบาหวานมากๆ เป็นไตวาย เป็นโรคแทรกซ้อน น้ำตาลที่สร้างพลังงานทำงานไม่ได้ เมื่อพัฒนาไม่ได้ก็ตาย พวกนี้มักเป็นเบาหวานตอนอายุครรภ์น้อยๆ และไม่เคยเช็กดู หรือเป็นโรคไตเรื้อรัง โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์เป็นพิษ อาหารที่จะไปเลี้ยงลูกต้องไปเผาผลาญทิ้งจากโรค เลยทำให้อาหารไม่พอทำให้ตาย" ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.วิทยากล่าว


ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.วิทยากล่าวว่า การเป็นท้องลมต้องไปตรวจเช็กสุขภาพว่า 1.เรามีปัญหาสุขภาพอะไรหรือไม่ ถ้ามีก็รักษาตามนั้นให้ครบ 2.ดูว่าเกี่ยวกับกรรมพันธุ์อะไรหรือไม่ ที่ทำให้มีลูกยาก แต่ตรงนี้จะเจอน้อยกว่า และมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง เช่น ปัจจัยทางสามี ปัจจัยภรรยา มีทั้งเรื่องสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บจำนวนมาก อย่างผู้ชายอาจมีปัญหาเรื่องสเปิร์มไม่มีคุณภาพหรือไม่มีสเปิร์ม หรือเป็นโรคบางอย่าง เช่น ผู้ชายกินเหล้าเรื้อรังสูบบุหรี่จัด ก็ทำให้มีปัญหาเช่นกัน และ 3.เป็นเรื่องของความบังเอิญที่มีความผิดปกติในการตั้งครรภ์ครั้งนั้น แต่คนเราไม่ควรมีเรื่องบังเอิญหลายครั้ง ดังนั้น การตั้งครรภ์แล้วเป็นท้องลม 2 ครั้งติดกันหรือหลายครั้งติดกัน แสดงว่าอาจจะมีปัญหาสุขภาพ ต้องไปตรวจเช็กสุขภาพว่าเป็นโรคอะไรหรือไม่ ต้องมีการตรวจเช็กอย่างละเอียด ส่วนใหญ่จะเช็กทางฝั่งผู้หญิงก่อน เพราะส่วนใหญ่ทางฝั่งผู้ชายจะไม่ค่อยมีปัญหา การจะไปเอาสเปิร์มมาเช็กไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากมาก และมีค่าใช้จ่ายสูง ในทางปฏิบัติจึงไม่ทำกัน มีการแปลผลยาก แต่ผู้หญิงจะบอกได้ง่าย เมื่อผสมไปแล้วถึงจะเอามาเช็ก

เมื่อถามว่าการท้องลมเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ด้วยหรือไม่ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.วิทยากล่าวว่า การเตรียมความพร้อมมีทั้งเรื่องเตรียมชีวิต เตรียมสุขภาพ และเตรียมเรื่องการตั้งครรภ์ อย่างเรื่องเตรียมชีวิต หากยังทำงาน อดหลับอดนอน ก็จะไม่ได้ เพราะความเครียดจะทำให้แท้งเช่นกัน จากการมีสารเคมีหลั่งออกมาทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี อาจจะทำให้แท้งได้ง่าย ดังนั้น การเตรียมการตั้งครรภ์ก็ต้องเตรียมชีวิตในเรื่องนี้ เตรียมอาหารให้ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ก็ต้องงดบางอย่าง ถ้าติดบุหรี่ ติดเหล้า ติดกาแฟ ก็ต้องงดหรือลด และกินอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งอาหารที่มีประโยชน์ระหว่างตอนยังไม่ท้องกับตอนท้องไม่แตกต่างกัน แต่ที่แตกต่างคือสัดส่วนของอาหาร เช่น กินคาร์โบไฮเดรต พวกแป้งหรือน้ำตาลให้น้อยลง กินพวกโปรตีนและผักให้มากขึ้น

ทั้งนี้ มีงานวิจัยใหญ่อยู่งานหนึ่งที่ทำการศึกษาในคนมากกว่า 5 หมื่นคน ในเรื่องของคือโฟเลตหรือโฟลิกแอซิด ซึ่งเป็นตัวเดียวกัน แต่โฟเลตอยู่ในอาหารจำพวกผักใบเขียว ส่วนโฟลิกแอซิดเป็นเม็ดยา  โดยพบว่าถ้ารับประทานอาหารที่มีโฟลิกแอซิดเยอะ จะช่วยลดการเกิดระบบสมอง เช่น ไม่มีเนื้อสมอง หรือไขสันหลังผิดปกติจะลดลงอย่างชัดเจน และทำให้เม็ดเลือดไม่ซีดจากการขาดโฟเลต ซึ่งระหว่างการกินโฟเลตและไม่กินโฟเลต อัตราการเกิดปัญหาทางระบบประสาทแตกต่างกันอย่างชัดเจน ส่วนวิธีในการกินจะต้องกินอย่างน้อยก่อนท้อง 3 เดือนและหลังท้องอย่างน้อย 3 เดือน รวมกันคือประมาณ 6 เดือน ไม่ใช่นึกจะกินก็กิน แต่สามารถกินก่อนหรือหลังมากกว่า 3 เดือนได้ อย่างไรก็ตาม หากหลังท้องแล้ว 3 เดือนไปค่อยไปกินอาจจะไม่ได้ประโยชน์เท่าไรนัก เพราะสมองของเด็กมีการพัฒนาแล้ว ถ้าเสียก็เสียแล้ว หรือดีก็คือดีไปแล้ว ดังนั้น หากจะตั้งครรภ์ก็ต้องมีการวางแผน โดยเริ่มกินโฟเลตหรือโฟลิกแอซิดก่อน อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าหากจะตั้งครรภ์หรือเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ควรจะปรึกษาสูตินรีแพทย์จะดีที่สุด เพื่อให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการปฏิบัติตัวเพื่อให้การตั้งครรภ์มีความปลอดภัย




กำลังโหลดความคิดเห็น