เพจ “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” โพสต์ให้ข้อมูลในเรื่องหอยนางรมกรองน้ำทะเลใสได้จริง เตือนอย่ากินหอยนางรมที่อยู่ริมทะเล และดูดกรองเอาสารมลพิษเข้าไป ถ้าเป็นพื้นที่ชายทะเล ใกล้แหล่งอุตสาหกรรม หรือแหล่งทำเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมีเยอะ ก็จะพบว่าหอยมีการสะสมสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
วันนี้ (26 ธ.ค.) เพจ “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” ของ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ให้ข้อมูลในเรื่องหอยนางรมกรองน้ำทะเลใสได้จริงหรือไม่ โดยระบุว่า ""หอยนางรม กรองน้ำทะเลใส" เจอคำถามจากภาพข้างล่างนี้ ที่เพจ "สัตว์โลกอมตีน" เอามาโพสต์ถามว่า น้ำขุ่นๆ มันใสขึ้นเพราะตัวหอยนางรม หรือเปลือกหอย กันแน่? คำตอบคือ จากตัวหอยครับ เพราะสัตว์กลุ่มหอยนั้นมีลักษณะการกินอาหารโดยการดูดน้ำ และกรองอาหารจากน้ำกันอยู่แล้ว ซึ่ง "หอยนางรม" เองก็กำลังเป็นที่สนใจของนักสิ่งแวดล้อม เพราะมันมีความสามารถในการกรองน้ำที่มีมลพิษจากสารอินทรีย์ได้ดีครับ
ดังเช่นการทดลองในคลิปนี้ (https://www.youtube.com/watch?v=N39nPt7k3p0) ซึ่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง University of Hong Kong ได้สาธิตว่า หอยนางรมสามารถทำให้น้ำทะเลที่มีมลพิษนั้นสะอาดขึ้นได้ โดยคลิปเร่งความเร็วแบบ time lapse นี้ แสดงให้เห็นว่าหอยนางรมของฮ่องกงสามารถกรองน้ำเสียที่มี "สาหร่ายพิษ ขนาดตาเปล่ามองไม่เห็น" ได้หมดภายในเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ซึ่งสาหร่ายพิษดังกล่าวนี้คือตัวการที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "ขี้ปลาวาฬ (red tide)" ที่มีสาหร่ายพิษขนาดจิ๋วนี้ในทะเลเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จนทำให้ปลาและสัตว์ทะเลตายได้
จากความสามารถของพวกสัตว์กลุ่มหอย โดยเฉพาะพวกหอยสองฝา ที่ใช้ระบบเหงือกของมันกรองอาหารพวกแพลงก์ตอน (อย่างสาหร่ายเซลล์เดียว) กินจากน้ำได้ โดยพบว่าหอยนางรมหนึ่งตัวสามารถกรองน้ำได้ถึง 120-160 ลิตรต่อวัน กรองเอาสารที่ถ้ามากเกินไปจะกลายเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และคาร์บอนไดออกไซด์ จึงทำให้น้ำทะเลใสขึ้น ช่วยควบคุมระดับของสาหร่าย และดึงดูดให้สัตว์ทะเลอื่นๆ เข้ามามากขึ้น
ทางมหาวิทยาลัยฮ่องกงจึงได้ร่วมกับสมาคมนิเวศวิทยาทางทะเล เริ่มโครงการ "หอยนางรม กู้ทะเลของเรา" และพยายามจะนำหอยนางรมประมาณ 5-10 ล้านตัว มาปล่อยให้เติบโตที่ชายฝั่งของเกาะฮ่องกงในช่วงเวลา 3 ปี ซึ่งคาดหวังกันว่าการเพาะเลี้ยงหอยนางรมแบบนี้จะช่วยให้คุณภาพน้ำทะเลของฮ่องกงดีขึ้นอย่างมาก หอยนางรมเป็นสัตว์ที่สำคัญมากต่อความหลากหลายทางชีวภาพของบริเวณปากแม่น้ำหรือชายฝั่ง พวกหอยสองฝาเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ช่วยให้แหล่งน้ำตามธรรมชาติสะอาดขึ้น แต่มันยังมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อระบบนิเวศทางทะเล ที่บรรดาปลาและสาหร่ายต้องพึ่งพาอาศัยพวกมัน
ส่วนเปลือกหอยนางรมนั้น มีความสำคัญทางอ้อมต่อการช่วยกรองน้ำในทะเลด้วย โดยที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้มีการนำเอาเปลือกหอยนางรมจากร้านอาหาร มาช่วยให้เป็นบ้านสำหรับตัวอ่อนของหอย เพื่อฟื้นฟูและเพาะพันธุ์หอยนางรมให้กลับมาอาศัยอยู่ในบริเวณท่าเรือนิวยอร์กได้อีกครั้ง (หลังจากสูญหายไปเนื่องจากมลพิษจากอุตสาหกรรม) และนำไปสู่การฟื้นฟูระบบนิเวศทางน้ำ ภายในปี ค.ศ. 2035
ปรกติแล้ว เวลาที่หอยนางรมผสมพันธุ์ โดยตัวผู้จะปล่อยสเปิร์มออกมาในน้ำ ผสมกับไข่ที่ปล่อยออกมาจากตัวเมีย กลายเป็นตัวอ่อนหอย (larvae) ที่จะหาพื้นที่ยึดเกาะ และเริ่มหาแคลเซียมไบคาร์บอเนตมาสร้างเปลือกของตัวเอง (ฟาร์มหอยนางรม มักจะใช้ตะแกรงหรือแท่งไม้ให้ตัวอ่อนหอยเกาะ และป่นเปลือกหอยเก่าโรยลงในน้ำ เพื่อเป็นแคลเซียมตั้งต้น ให้หอยสร้างเปลือกของตัวเอง)
ทางโครงการนี้ จึงรับบริจาคขยะเปลือกหอยจากร้านอาหารในเครือข่าย แล้วนำตัวอ่อนหอยมาเพาะต่อที่เปลือกหอย โดยเปลือกหอยนางรมเก่า 1 เปลือก สามารถเป็นบ้านให้หอยได้ถึง 20 ตัว เมื่อหอยโตเต็มที่ จึงนำใส่กล่องตะแกรง เพื่อสร้างเป็นแนวปะการังหอยนางรม ติดตั้งยังท่าเรือต่างๆ เพื่อฟื้นฟูคุณภาพของน้ำทะเลรอบเมืองนิวยอร์ก
ปล. สำหรับอันตรายจากการกินหอยนางรมที่อยู่ริมทะเล และดูดกรองเอาสารมลพิษเข้าไปนั้น ถ้าเป็นพื้นที่ชายทะเล ใกล้แหล่งอุตสาหกรรม หรือแหล่งทำเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมีเยอะ ก็จะพบว่าหอยมีการสะสมสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (เช่น สารตกค้างกลุ่มพีซีบี กลุ่มออกาโนฟอสเฟต โลหะหนัก ฯลฯ) ในระยะยาวได้
แต่ที่มีรายงานบ่อยครั้งกว่า คือการพบสารชีวภาพที่เป็นพิษ (biotoxin) เช่น กรดโอคาดาอิก (okadaic acid) และไดโนไฟซิสทอกซิน (dinophysis toxin) ซึ่งสร้างจากสาหร่ายเซลล์เดียวไดโนแฟลเจลเลตชนิดมีพิษ ที่หอยกินเข้าไปและสะสมในตัวมัน ซึ่งสารพวกนี้มักไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน และส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อได้
รวมไปถึงการมีเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค เช่น เชื้อวิบริโอ (vibrio) ซาลโมเนลลา (Salmonella) แคมไพโลแบคเทอร์ (Campylobacter) ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ถ้านำมาบริโภคดิบๆ ครับ จึงควรกินอาหารทะเลที่ทำให้สุกก่อนเสมอ"