xs
xsm
sm
md
lg

“หมอปัตพงษ์” ยกข้อมูลโต้ กัญชาไม่ใช่สาเหตุโรคจิต สถิติชี้ชัดหลังปลดล็อกความชุกโรคจิตลดลง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อาจารย์แพทย์เวชศาสตร์ชุมชน มข.ชี้งานวิจัยอ้างบริโภคกัญชาเสี่ยงโรคจิต มีปัญหาความน่าเชื่อถือ ขณะที่งานวิจัยที่รอบด้านกว่าชี้ชัดกัญชาไม่ใช่สาเหตุโรคจิต เผยสถิติจากนานาชาติและไทยยืนยันหลังแก้กฎหมายกัญชาความชุกของโรคจิตลดลง ที่อันตรายจริงๆ คือกัญชาสังเคราะห์ต่างหาก แนะรัฐเร่งให้ความรู้ประชาชนไม่ให้ใช้เกินขนาด

รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ หัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัว ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เขียนบทความในหัวข้อเรื่อง นโยบายกัญชาเสรีจะทำให้สถิติคนเป็นโรคจิตเพิ่มขึ้น จริงหรือไม่ เพื่อให้ข้อมูลกรณีมีความห่วงกังวลของสังคมต่อนโยบายกัญชาเสรีเรื่องหนึ่งที่กลัวว่าจะทำให้มีคนเป็นโรคจิตเพิ่มขึ้น โดย รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ ระบุว่า จากสถิติข้อมูลของต่างประเทศและของไทยเอง พบว่า สถิติจำนวนคนเป็นโรคจิตลดลงและมาใช้บริการลดลง

ทั้งนี้ มีการศึกษาในต่างประเทศ โดยการวิจัยแบบอภิมาน (Meta-analysis) สรุปว่า การบริโภคกัญชาขนาดสูงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคจิต คิดเป็น 3.9 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้ใช้ แต่จุดอ่อนที่สำคัญของงานวิจัยนี้ คือ 1) มีการรวมเอางานวิจัยแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) จำนวนมากถึง 4 ใน 10 มาวิเคราะห์ ซึ่งข้อจำกัดของงานวิจัยประเภทนี้คือ ไม่สามารถบอกลำดับก่อนหลังของเหตุการณ์ได้ นั่นคือ บอกไม่ได้ว่า ใช้กัญชาก่อนมีอาการทางจิต หรือ ป่วยทางจิตก่อนจึงมาใช้กัญชา,

2) การวัดผลลัพธ์ว่า “เป็นโรคจิต” หรือไม่นั้น ไม่ได้ใช้เกณฑ์การตัดสินและวิธีวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน บางงานวิจัยใช้ข้อมูลตามที่ผู้ป่วยบอกเท่านั้น ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยโดยแพทย์, บางงานวิจัยนับเอาอาการทางจิตประสาทระยะสั้นเข้าไปด้วย, บางงานระบุว่า ต้องมีอาการโรคจิต 1 อาการขึ้นไป บางงานระบุว่า ต้องมีอาการทางจิต 2 อย่างขึ้นไป คณะนักวิจัยสรุปว่า ไม่สามารถยืนยันได้ว่ากัญชาคือสาเหตุของโรคจิต

ขณะที่ การศึกษาของนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์และคิงส์คอลเลจ ประเทศอังกฤษ พบว่า แม้ว่าคนอังกฤษจะมีการใช้กัญชาเพิ่มมากขึ้นถึง 20 เท่าในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แต่สถิติอุบัติการณ์และความชุกของการเป็นโรคจิตในอังกฤษก็ยังคงมีอัตราคงที่ มาโดยตลอด และกลับมีแนวโน้มลดลง

ส่วนการวิจัยที่ประเทศเดนมาร์ค พบว่า การใช้กัญชาไม่สัมพันธ์กับการเกิดโรคอารมณ์สองขั้ว (โรคไบโพล่าร์) คนป่วยเป็นโรคอารมณ์สองขั้วอยู่ก่อนแล้ว จึงมาใช้กัญชาในภายหลัง สอดคล้องกับการศึกษาของนักวิจัยประเทศแคนาดา ที่สรุปว่า คนที่เป็นโรคจิต มักจะมีพันธุกรรมที่เสี่ยงจะเป็นโรคจิตอยู่ก่อน แม้ไม่ใช้กัญชา

ศาสตราจารย์ คาร์ล ฮาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านสารเสพติด แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา รวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้าน และใช้กรอบการวิเคราะห์ความเป็นสาเหตุ (Causation) สรุปว่า กัญชาไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคจิต แต่กลับพบว่าคนเป็นโรคจิตหรือเสี่ยงที่จะเป็นโรคจิตมีแนวโน้มจะใช้กัญชา จึงเสนอให้นักวิจัยเรื่องโรคจิต ศึกษาปัจจัยอื่นๆ ที่น่าจะมีผลทำให้เกิดโรคจิต เช่น การใช้สารเสพติดอื่นๆ

ส่วนในประเทศไทย จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขของไทย พบว่า ปี งบประมาณ 2565มีผู้ป่วยโรคจิต จำนวน 333,318 คน หรือคิดเป็นความชุก เท่ากับ ร้อยละ 0.50 (ข้อมูล ณ วันที่ 8 พ.ย. 2565) เมื่อเปรียบเทียบกับผลการศึกษาในอดีต เมื่อปี พ.ศ.2556 พบว่า อัตราความชุก (ชั่วชีวิต) เท่ากับร้อยละ 0.7 และอัตราความชุก (หนึ่งเดือนหรือเฉียบพลัน) เท่ากับ ร้อยละ 0.6 แสดงว่า ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคจิตลดลง

นอกจากนี้ จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขเช่นกัน พบว่า สถิติการมารับบริการของผู้ป่วยโรคจิตมีแนวโน้ม “ลดลง” ดังนี้ ปี 2564 ผู้ป่วยโรคจิตทั้งประเทศมารับบริการทั้งหมด รวม 1,433,520 ครั้ง(ข้อมูล ณ วันที่ 18 พ.ย. 2564) ในขณะที่ปี 2565 มารับบริการ 1,421,562 ครั้ง (ข้อมูล ณ วันที่ 8 พ.ย. 2565) นั่นคือ ผู้ป่วยโรคจิตมารับบริการลดลง 11,958 ครั้ง

จากรายงานของกรมสุขภาพจิต นำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 พบว่า สถิติการมารับบริการด้วย “อาการความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมที่เกิดจากการเสพกัญชา”(รหัสโรค คือ F12) ของโรงพยาบาลในสังกัดกรมสุขภาพจิตจำนวน 14 แห่งทั่วประเทศ มีแนวโน้ม “ลดลง” ดังนี้ ปีงบประมาณ 2564 (ข้อมูลช่วง 10 เดือน ตค.63 ถึง กค.64) เท่ากับ 12,235ครั้ง, ปีงบประมาณ 2565 (ช่วงเวลา 10 เดือนเช่นกัน) เท่ากับ10,561ครั้งนั่นคือ ลดลง เท่ากับ 1,674 ครั้งเป็นผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 3,922 คน (ข้อมูล มค.-กย.65)

นอกจากนี้ พบว่า แบบแผนของ “ภาวะความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมที่เกิดจากการเสพกัญชา” ของปีงบประมาณ 2564 และ 2565 รายเดือน มีจำนวนมากในเดือนตุลาคม แล้วค่อยๆ ลดลง อย่างต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกันยายน แล้วกลับมาเพิ่มแบบก้าวกระโดดอีกทีในเดือนตุลาคมของปีต่อมา เป็นเช่นนี้เหมือนกันทั้งสองปี และเป็นที่น่าสังเกตมากคือ สถิติไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกตในเดือนมิถุนายน 2565 หลังจากที่มีการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดและมีผลทางกฎหมายแล้ว

การวินิจฉัย “อาการความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมที่เกิดจากการเสพกัญชา” (รหัสโรค คือ F12) นี้นั้น เมื่อเทียบเคียงกับนิยามขององค์การอนามัยโลก ภาวะนี้ไม่ใช่การ “เป็นโรคจิต” เพราะถ้าวินิจฉัยว่า “เป็นโรคจิต” จะให้รหัสเป็น F20 ถึง F29

คนที่เมากัญชา จะมีอาการง่วงนอน มึนงง วิตกกังวล หรือคลื่นไส้อาเจียน ได้ แต่แก้ได้ด้วยการกินน้ำมะนาวและนอนพัก จะสร่างเมา อาการจะดีขึ้นจนเป็นปกติ ต่างจากคนเมาเหล้า ที่จะมีอาการก้าวร้าว เอะอะ โวยวาย อาการเมากัญชา เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ ถ้าไม่ใช้กัญชาเกินขนาด โดยเริ่มเพียงขนาดน้อยๆและค่อยๆเพิ่มทีละช้าๆ

รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ ระบุอีกว่า สิ่งที่มีอันตรายมากจริง คือ กัญชาสังเคราะห์ เพราะทำให้เกิดอาการทางจิต มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ และมีผลกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ อีกหลายระบบทำให้เสียชีวิตได้มีความพยายามทำลายชื่อเสียงของกัญชา โดยนำกัญชาสังเคราะห์ไปฉีดพ่นใส่กัญชาธรรมชาติและมีจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ต

การแก้กฎหมายกัญชาในสหรัฐอเมริกา เปิดให้คนสามารถเข้าถึงกัญชาธรรมชาติที่มีคุณภาพแบบถูกกฎหมาย ทำให้ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากกัญชาสังเคราะห์จนต้องเข้าโรงพยาบาลมีจำนวนลดลง

รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ ย้ำว่า งานวิจัยที่ระบุว่ากัญชาเป็นสาเหตุของโรคจิต ถูกโต้แย้งแล้วว่า มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ บทเรียนจากนานาชาติ พบว่า หลังแก้กฎหมายกัญชา สถิติคนเป็นโรคจิตมีจำนวนคงที่หรือมีแนวโน้มลดลง และปัญหาจากกัญชาสังเคราะห์ลดลง ข้อมูลประเทศไทยก็พบเช่นเดียวกันว่า ความชุกของคนเป็นโรคจิตมีแนวโน้มลดลง และ มาใช้บริการลดลง แต่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งให้ความรู้แก่ประชาชนไม่ให้ใช้กัญชาเกินขนาด และหลีกเลี่ยงการใช้กัญชาสังเคราะห์


กำลังโหลดความคิดเห็น