สธ.เผยทั่วโลกลดลง ฝั่งเอเชียเพิ่มขึ้น พบดับจากโควิดในไทยยังเป็นสูงอายุ และโรคประจำตัว ทั้งหมดยังไม่ได้วัคซีนเข็มสาม ผลศึกษาใช้จริงพบ 2 เข็ม เอาโอมิครอนไม่อยู่ ป้องกันติดเชื้อไม่ได้เลย ส่วนป้องกันรุนแรงและเสียชีวิตลดลงเหลือ 89% ส่วนเข็มสามป้องกันโอมิครอนสูง 68% ย้ำมาฉีดเข็มกระตุ้นตามกำหนด ช่วยลดเสี่ยงรุนแรงดับ
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 ว่า สถานการณ์ทั่วโลกลดลงจาก 2 สัปดาห์ที่แล้ว ติดเชื้อรายใหม่ 1.8 ล้านราย สะสม 395.8 ล้านราย เสียชีวิต 6.3 พันราย สะสม 5.75 ล้านราย โดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐอเมริกาเริ่มลดลง ส่วนเอเชียเริ่มสูงขึ้น อย่างญี่ปุ่น 1 แสนกว่าราย เกาหลีใต้ 3.8 หมื่นราย อินโดนีเซีย 3.6 หมื่นราย มาเลเซียทะลุหลักหมื่นรายเช่นกัน เวียดนามก็หมื่นกว่าราย แต่ผู้เสียชีวิตก็ยังไม่มาก โดยเฉพาะอินเดียที่ติดเชื้อสูง อาจมีการแพร่เข้ามาทางชายแดนเราได้
ส่วนประเทศไทยต้องอยู่กับโอมิครอนให้ได้ ต้องมาติดตามผู้ป่วยอาการมากน้อยขนาดไหน ซึ่งผู้ป่วยปอดอักเสบและเสียชีวิตยังคงตัว แม้ติดเชื้อรายใหม่หมื่นกว่าคน ซึ่งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้อาการรุนแรง คือ กลุ่มเสี่ยง 608 ซึ่งผู้เสียชีวิต 12 รายวันนี้ เป็นกลุ่มสูงอายุและมีโรคเรื้อรังทั้งหมด พบว่า ไม่ได้ฉีดบูสเตอร์โดสแม้แต่คนเดียว ดังนั้น การเร่งฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสจึงช่วยลดการป่วยรุนแรงในระลอกโอมิครอนรอบนี้ ขอให้ทุกคนช่วยกันป้องกันตนเองและคนในครอบครัว ไม่ให้สถานการณ์สูงขึ้นกว่านี้ โดยการปฏิ บัติตามมาตรการป้องกันตนเองสูงสุด (UP) และ VUCA จะช่วยให้การเสียชีวิตไม่เพิ่มมากกว่านี้
สำหรับสถานการณ์โควิดภาพรวมเฉลี่ย 7 วัน พบว่า แนวโน้มเพิ่มขึ้น การติดเชื้อมีทั้งคลัสเตอร์ ชุมชน ครอบครัว สถานที่เสี่ยงต่างๆ เรายังคงระดับสัญญาณเตือนภัยระดับ 4 ขอให้หลีกเลี่ยงเข้าสถานที่เสี่ยง ร้านอาหารกึ่งผับระบบปิด ระบายอากาศไม่ดี งดและเลี่ยงการรวมกลุ่มคนทำกิจกรรมต่างๆ สำหรับพื้นที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นช่วงนี้ คือ กทม.ปริมณฑล และจังหวัดนำร่องท่องเที่ยว โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาพบการติดเชื้อในเด็กอายุ 0-9 ปี และ 10-19 ปีเพิ่มขึ้น อย่างอายุ 0-9 ปี ช่วงแรกติดเชื้อ 1-2% ก็เพิ่มมาเป็น 10.4% ซึ่งการติดเชื้อเด็กเล็กที่เพิ่มช่วงนี้ก็สอดคล้องกับการระบาดในโรงเรียนช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่นักเรียนอาการน้อยหรือไม่มีอาการ ส่วนมีอาการพบได้บ้างน้อยกว่า 0.1% ขอให้ผู้ปกครองพาเด็กไปรับวัคซีน โดยไฟเซอร์ฉีดได้ 5 ขวบขึ้นไป และซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ในเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป
ด้าน นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการศึกษาประสิทธิผลการใช้จริงวัคซีนโควิด 19 ระดับประเทศ โดยศึกษาในผู้สัมผัสเสี่ยงสูงช่วง ก.ค.- ธ.ค. 2564 โดยเปรียบเทียบผู้ติดเชื้อกับผู้ไม่ติดเชื้อ ทั้งประวัติการฉีดวัคซีนและอาการรุนแรง พบว่า ผู้ที่รับวัคซีน 2 เข็ม ป้องกันการติดเชื้อ 65% ป้องกันป่วยรุนแรงและเสียชีวิต 88% ส่วนคนรับ 3 เข็ม ประสิทธิผลสูงขึ้นป้องกันการติดเชื้อสูง 94% และป้องกันการรุนแรงและเสียชีวิตสูงขึ้นเป็น 98% ทั้งนี้ มีการติดตามประเมินประสิทธิผลวัคซีนทุกเดือน โดยผู้รับวัคซีน 2 เข็มช่วง ก.ค.ป้องกันการติดเชื้อเคยสูง 81% แต่ระยะเวลาผ่านไปภูมิจะลดลงจน ธ.ค. ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อเหลือ 50% ส่วนป้องกันป่วยรุนแรงและเสียชีวิต เดิม ก.ค. 89% ธ.ค.ลดลงเล็กน้อยเหลือ 79% วัคซีน 2 เข็มอาจป้องกันช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปการป้องกันติดเชื้อลดลงตามระยะเวลา ส่วนเจ็บป่วยรุนแรงเสียชีวิตยังมีประสิทธิผลสูงต่อเนื่อง ส่วนเข็มสามป้องกันติดเชื้อสูงต่อเนื่องเกือบ 90% โดยตลอด ส่วนเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตยังสูง 94-98%
สำหรับการศึกษาพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ ต.ค.- ธ.ค.2564 มีสายพันธุ์เดลตา และ ม.ค.2565 มีสายพันธุ์โอมิครอน พบว่าประสิทธิผลวัคซีน 2 เข็ม ช่วง ต.ค.-ธ.ค.ป้องกันติดเชื้อได้ดี 71% ใกล้เคียงตัวเลขประเทศ ป้องกันเสียชีวิตสูงต่อเนื่อง 97% ส่วน ม.ค.ไม่สามารถป้องกันการระบาดโอมิครอนได้เลย ผลเป็น 0% ส่วนการเสียชีวิตป้องกันได้ดี 89% สำหรับการฉีด 3 เข็ม ช่วง ต.ค.-ธ.ค. ป้องกันการติดเชื้อ 93% ช่วง ม.ค.ลดเหลือ 68% ส่วนป้องกันเสียชีวิตสูงจาก 99% ลดเหลือ 96% ซึ่งการฉีดเข็มสามแต่ละสูตรนั้นพบว่าไม่แตกต่างกันมาก โดยฉีดสูตร Sv+Sv+AZ ป้องกันติดเชื้อ 78% สูตร Sv+Sv+Pf ป้องกันการติดเชื้อ 63% สูตร Sp+Sp+Pf ป้องกันการติดเชื้อ 68% สูตร Sv+AZ+AZ ป้องกันการติดเชื้อ 68% และสูตร AZ+AZ+Pf ป้องกันการติดเชื้อ 62%
“สรุปวัคซีนที่ใช้ในไทยช่วงที่ผ่านมา ป้องกันการติดเชื้อและป่วยรุนแรงได้ดีมาก คนได้ 2 เข็มป้องกันป่วยรุนแรงและเสียชีวิตสูงมากและสูงต่อเนื่อง แต่เวลาผ่านไปการป้องกันติดเชื้อลดลง เมื่อเจอโอมิครอน 2 เข็มแทบเป็น 0 แต่เข็มสามประสิทธิผลเพิ่มขึ้น แต่อาจไม่สูงเมื่อเจอโอมิครอน แต่ยังอยู่ที่ประมาณ 68% การควบคุมการระบาดโควิด นอกจากวัคซีนที่ต้องเร่งฉีดเข็ม 3 ซึ่งขณะนี้ฉีดแล้ว 22% ยังต้องทำมาตรการอื่น เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดใหญ่เป็นวงกว้าง ทั้งมาตรการป้องกันตนเองสูงสุด COVID Free Setting เว้นระยะห่าง ไม่อยู่สถานที่ปิดอับ ตรวจ ATK หากติดเชื้อจะได้รักษาแยกกักแต่เนิ่นๆ ไม่ติดเชื้อดำเนินชีวิตต่อได้ ทำให้ประเทศไทยสามารถจะต่อสู้โควิด ไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์” นพ.ทวีทรัพย์ กล่าว