“อนุทิน” แจงโควิดพุ่งหมื่นราย เหตุ “โอมิครอน” ติดง่าย แต่ไม่รุนแรง พบป่วยหนักเสียชีวิตลดลง เพราะรับวัคซีนถ้วนหน้า ลั่นคุมสถานการณ์ได้ดี เมื่อเทียบประเทศอื่น ขอร่วมมือมาฉีดวัคซีนตามกำหนด ห่วงช่วงถอดหน้ากากทำอย่างไรให้ระวังมากที่สุด อาจปรับรูปแบบรายงานสถานการณ์ ยันข้อมูลโปร่งใส ส่วนวัคซีนไม่ได้สต๊อกไว้ใช้ปีหน้า แต่บริหารจัดการให้มีพอฉีดแต่ละรอบ
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มถึงหลักหมื่นราย ว่า โอมิครอนเป็นสายพันธุ์ที่ติดเชื้อง่าย แต่ไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ที่ผ่านมา สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือมารับวัคซีน ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่รับไปมากแล้ว ตอนนี้กำลังเริ่มฉีดบูสเตอร์ให้ ต้องขอทุกคนที่ยังไม่ได้ฉีด เมื่อถึงเวลาให้มารับวัคซีนโดยถ้วนหน้า และระมัดระวังตัวเองด้วย เพราะเท่าที่ทราบการติดเชื้อที่เยอะขึ้นส่วนใหญ่มาจากสังสรรค์ การรวมตัวในคนหมู่มาก ซึ่งก็เข้าใจเพราะเราเป็นประเทศที่มีสังคม แต่ขอให้ระมัดระวังตัวให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกันเป็นเวลานานเกินไป ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ถ้าไปสถานที่เสี่ยงสูง มีคนจำนวนมากก็ใส่สองชั้น เช่น รพ. สถานที่ไม่มีระบบถ่ายเทอากาศที่ดี เป็นต้น ก็ควรเพิ่มความระมัดระวัง
“คนส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนแล้ว ทำให้เห็นว่าแม้มีจำนวนการติดเชื้อมากขึ้น แต่คนมีอาการรุนแรง อาการหนัก และเสียชีวิต ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ก็อยู่ในการควบคุมได้ เปอร์เซ็นต์น้อยลง อย่าง ธ.ค. 2564 ติดเชื้อ 3,500-4,000 คนต่อวัน จำนวนผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตก็จำนวนเท่านี้ ขณะที่วันนี้ผู้ติดเชื้อมากขึ้น จำนวนผู้เสียชีวิตและป่วยหนักก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง กรมควบคุมโรคพยายามเต็มที่ในการตรึงสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายมากกว่านี้” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยและเสียชีวิตที่ สธ.ได้รับรายงานเข้ามาจากทั่วประเทศ เรามีการติดตามสาเหตุการเสียชีวิต พบว่า มากกว่า 80% ไม่ได้รับวัคซีนและอยู่ในกลุ่ม 608 แสดงชัดว่า จริงๆ แล้ว หนทางที่ทำให้ทุกคนปลอดภัยยังมีอยู่ เชื่อว่า ทุกวันนี้หากติดตามสถานการณ์ประเทศอื่นทั่วโลก จะเห็นชัดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเขามีมากกว่าไทยมาก ไม่ว่าเทียบอัตราส่วนประชากรให้ฐานเหมือนกันแล้ว ประเทศไทยก็ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้มากกว่าประเทศอื่น เพราะคนไทยให้ความร่วมมือ แต่อยากได้ความร่วมมือเต็มที่มากกว่านี้ ดังนั้นการรับวัคซีนเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งพิสูจน์ยืนยันชัดเจนว่า การไม่มีผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตเพิ่ม เมื่อเทียบกับคราวที่แล้วที่สูญเสียมากๆ เพราะยังไม่มีวัคซีน ซึ่งวันนี้ได้รับวัคซีนจำนวนมากแล้ว จำนวนคนเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ลดลงด้วยซ้ำ การครองเตียงน้อยลงกว่าสมัยก่อนมาก สถานพยาบาล เตียง และยามีความพร้อมอย่างเต็มที่ เราพอจะจับทิศทางได้ แม้จะป้องกันไม่ได้ 100% แต่เน้นไม่ป่วยหนักและไม่เสียชีวิต
“ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มากกว่า 85% ไม่แสดงอาการก็มีระบบ Home Isolation (HI) ด้วยประสบการณ์เราก็เตรียม HI ตั้งแต่แรก ก็มีคำตอบในตัวเองว่าทำไมตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ เหลืออย่างเดียว คือ รับความร่วมมือ เพราะเราไม่สามารถไปบอกล็อกดาวน์หรือบังคับอะไรได้ ตอนนี้เหลือแต่ประเภทผับบาร์คาราโอเกะที่ยังไม่ให้เปิด ถ้าเราสามารถให้ความร่วมมือต่อไป อย่ารวมกลุ่มในคนหมู่มากจนเกินไป ระวังตนเองตลอดเวลา ก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้” นายอนุทิน กล่าว
ถามว่า มีการตั้งคำถามว่าไทยรายงานน้อยกว่าประเทศอื่น ทั้งที่เป็นโอมิครอนเหมือนกัน นายอนุทิน กล่าวว่า สิ่งที่ประเทศไทยทำให้นานาชาติเห็นชัดเจนและเชื่อมั่นมากที่สุด คือ ความโปร่งใสและการรายงานข้อมูลทางด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะโควิด คำถามที่ว่าไม่ตรวจ ตรวจน้อย ตรวจไม่พอ คงไม่ใช่ประเด็น เราก็ตรวจไม่น้อยกว่าประเทศอื่น มาตรการเราเข้มกว่าประเทศอื่น ทุกวันนี้ทูตหลายประเทศติดต่อเข้ามาว่า ทำไมเราเข้มขนาดนี้ ขอให้ผ่อนคลาย บางประเทศบอกว่าถ้าเราเข้มแบบนี้ก็จะใช้มาตรการแบบเดียวกับเรา เราก็ต้องยืนหยัดในหนทางที่เชื่อว่าจะทำความปลอดภัยมากที่สุด
ถามว่า ไทยก็เป็นโอมิครอน แต่ทำไมตัวเลขยังไม่พุ่งเหมือนต่างชาติ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็ถือว่าพุ่งแล้ว อย่างที่บอกแค่หมื่นหมอก็จะบ้าตายแล้ว ไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไร พูดได้คำเดียวว่าขอบคุณคนไทยที่ให้ความร่วมมืออย่างดี อาจจะไม่ถูกใจท่าน วัคซีนอาจจะไม่ตรงตามที่ต้องการก็มาฉีด เพราะเชื่อมั่นว่ารัฐบาลได้จัดวัคซีนที่มีประโยชน์และมีมาตรฐาน ท่านใส่หน้ากากไปแทบทุกที่ ถ้าเทียบกับประเทศอื่น ก็ไม่มีคนไหนใส่หน้ากากอนามัยเท่าคนไทย เหลือแค่ว่าช่วงที่เราถอดหน้ากากทำอย่างไรให้ระวังตรงนั้นมากที่สุด หากใส่หน้ากากและรับวัคซีนอย่างไรก็ปลอดภัย แต่ตอนอยู่บ้านโดยเฉพาะอยู่กับผู้สูงอายุ จะต้องระวังให้มาก เพราะความแข็งแรงสู้คนหนุ่มสาวไม่ได้ เป็นพื้นที่ที่ทางแพทย์จะต้องไปเข้มงวดมากเป็นพิเศษ
เมื่อถามถึงการเสนอปรับมาตรการผ่อนคลายต่อ ศบค. นายอนุทิน กล่าวว่า เท่าที่ทราบยังไม่มี แต่เห็นพาดหัวข่าววันนี้ว่าจะมีการผ่อนคลายแบบจัดเต็ม คงไม่ใช่ ตอนนี้ยังมีเหตุการณ์ติดเชื้ออยู่ อาจมีการปรับปรุงรูปแบบรายงาน เพื่อให้ความวิตกกังวลของประชาชนลดน้อยลง ซึ่งการรายงานประจำวันของ สธ. เป็นการรายงานอิงตามสากล ไม่ได้ว่าต้องการจะมารายงานอะไรที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เป็นข้อเท็จจริงทุกประการ แต่เป็นการรายงานที่เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจ และใช้ชีวิตท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ได้ให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่ทำได้
ถามถึงสต๊อกวัคซีน นายอนุทิน กล่าวว่า เราบริหารจัดการเต็มที่ เพราะวัคซีนก็ยังไม่มีตระกูลใหม่ออกมา และผู้ผลิตวัคซีนยืนยันว่าขอให้ใช้บูสเตอร์โดสในสูตรที่เรามีอยู่แล้ว อย่างแอสตร้าเซนเนก้า จะทยอยส่ง 60 ล้านโดส ไฟเซอร์ ก็ทยอยส่ง 30 ล้านโดส เราไม่ได้สต๊อกเก็บไว้ใช้ปีหน้า แต่ให้เพียงพอหมุนเวียนแต่ละรอบ เพราะมีอีกเป็นแสนคนที่ยังไม่ฉีดเข็มหนึ่ง ซึ่งก็อาจจะมาฉีดหลังจากเฝ้าสังเกตการณ์ว่าเวิร์ก เขาก็จะมาฉีด เข็มสองก็ต้องสแปร์ไว้ และมาเข็มสามและสี่ จึงต้องมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ขาด น่าจะบริหารจัดการได้ดีกว่าช่วงแรกๆ ที่วัคซีนเข้ามา เพราะจากนี้ไปยิ่งได้รับวัคซีนมาฉีดเข็มหนึ่งและสองจบเมื่อไร ก็เป็นโดสเดียวแล้ว ที่ผ่านมา กังวลว่าจะไม่มีโดสต่อให้ ก็เหลือแค่เด็กอายุ 5-11 ขวบ ที่ต้องกลับไปบริหารจัดการเรื่องสองโดส ต้องวางคิวให้ดี ไม่ใช่ฉีดไปโดยไม่บริหารจัดการ อีก 3-4 สัปดาห์มารับเข็มสองแล้วขาจะยุ่ง เป็นปัญหาที่เราเผชิญมาแล้ว และมีความเข้าใจว่าจะควบคุมสถานการณ์อย่างไร
ถามว่า จากสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการหรือไม่ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. กล่าวว่า กรมควบคุมโรคมีการให้ข้อมูลมาแล้วว่า สถานการณ์ใดบ้างที่เรียกว่าวิตกกังวล ขณะนี้อยู่ในการควบคุม อยู่ในการประมาณการณ์ไว้ถือว่าควบคุมได้แล้ว อย่างอัตราเสียชีวิตช่วงแรกๆ เราเคยอยู่ที่ประมาณ 2% แต่ก็ลดลงมา ขณะนี้ต่ำกว่า 1% แล้ว ตัวเลขที่เห็นทุกวันนี้คือประมาณ 0.22% ก็ถือว่าค่อนข้างต่ำ เราคิดว่าอยู่ในเกณฑ์และเป็นไปตามหลักวิชาการ ส่วนวัคซีนมีการประชุมว่า เข็มสองถ้าฉีดไปแล้วถึงเวลาภูมิคุ้มกันก็จะลดลง การฉีดเข็มสามจึงจำเป็น เราตั้งเป้าหมายเบื้องต้น เข็มหนึ่งและสองรวมกันควรได้ประมาณ 80% ของประชากร และเข็มสาม ถ้าได้ 80-90% ของเข็มสองก็จะดีมาก ก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้