กรมควบคุมโรคเร่งทำความเข้าใจ โควิดติดเชื้อเพิ่มไม่น่ากังวล เหตุโอมิครอนแพร่ง่าย แต่ไม่รุนแรง ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ยังต้องเร่งฉีดวัคซีนบูสเตอร์กลุ่มเสี่ยง 608 เพราะเป็นกลุ่มเสียชีวิตขณะนี้ ส่วนเด็ก 5-11 ปี ฉีดแล้ว 2 หมื่นคนใน 1 สัปดาห์ จันทร์นี้เริ่มฉีดในโรงเรียนกลุ่มเด็กทั่วไป เปิดทางเลือกได้ทั้งไฟเซอร์ ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม จับตาชงมาตรการ ศบค.สัปดาห์นี้
เมื่อวันที่ 6 ก.พ. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทย ว่า ขณะนี้แม้จะมีสายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่กระจายเชื้อได้รวดเร็ว แต่ข้อมูลวิชาการทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า ความรุนแรงไม่ได้มากกว่าสายพันธุ์เดลตา ดังนั้น การที่เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อดูจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยหนักไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม ก็อยู่ในสถานการณ์ที่เราคาดการณ์ไว้ ระบบสาธารณสุขยังสามารถรองรับผู้ป่วยอาการหนักเพื่อป้องกันการเสียชีวิตได้ ส่วนผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อยก็ใช้ระบบการรักษาที่บ้าน (Home Isolation) ซึ่งที่ผ่านมา ก็พิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้เตียงใน รพ.เพียงพอต่อการรักษา ทั้งผู้ป่วยโควิดและโรคอื่น ซึ่งตอนนี้ต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนว่า อย่ากังวลเรื่องตัวเลขการติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากจนเกินไปนัก เราอยู่กับโรคมา 2 ปีแล้ว ตอนนี้เราต้องมูฟออน เพื่อให้ประเทศไทยได้เดินต่อ
นพ.โอภาส กล่าวว่า สิ่งสำคัญตอนนี้ที่เห็นได้ชัด คือ การลดอัตราผู้เสียชีวิต เนื่องจากข้อมูลตอนนี้พบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนบูสเตอร์โดส จึงต้องเน้นย้ำในเรื่องนี้ หากใครถึงเวลารับเข็มกระตุ้นขอให้มารับตามกำหนด เพื่อลดอัตราความรุนแรงของโรค ส่วนวัคซีนเด็กก็มีความสำคัญ เพราะตอนนี้เปิดเทอมแล้ว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนสำหรับเด็กแล้ว 2 ชนิด ซึ่งมีความปลอดภัย เป็นที่ยอมรับกัน ทั่วโลกก็ฉีดเด็กไปเยอะ สำหรับไทยฉีดเด็กโตแล้วกว่า 90% ยังไม่พบผลข้างเคียงที่อันตรายรุนแรง อยากขอประชาสัมพันธ์ผู้ปกครองพิจารณาวัคซีนบุตรหลาน ซึ่งยังเป็นไปตามความสมัครใจ
ส่วนการรับวัคซีนในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ที่ผ่านมา 1 สัปดาห์ฉีดไป 20,000 คน เป็นกลุ่มเด็กป่วย 7 โรคเรื้อรัง ซึ่งกรมควบคุมโรคไม่ได้เร่งรัด ขอเพียงผู้ปกครองและเด็กทำความเข้าใจตรงกัน เพราะการรับวัคซีนเป็นเรื่องของความสมัครใจ และสัปดาห์นี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. จะเริ่มฉีดวัคซีนในเด็กทั่วไป เชื่อว่าขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำลังเตรียมความพร้อมดำเนินการ ส่วนที่ อย.อนุมัติขึ้นทะเบียนวัคซีนซิโนแวค ซิโนฟาร์มให้ฉีดกับเด็ก 6 ปีขึ้นไปนั้น จะเข้ามาเป็นทางเลือกให้กับผู้ปกครองและเด็ก สามารถเลือกวัคซีนฉีดเองได้ เพราะการรับวัคซีนเป็นเรื่องของความสมัครใจ อีกทั้งวัคซีนในเด็กก็มีมากจึงเปิดให้เลือก โดยย้ำว่าวัคซีนทุกตัวที่ผ่านการขึ้นทะเบียนของ อย.มีความปลอดภัย
เมื่อถามว่า ในการประชุม ศบค.นัดถัดไป สธ.จะเสนอมาตรการใด นพ.โอภาส กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ติดตามข้อมูลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สธ.ก็เตรียมข้อมูลเพื่อไปนำเสนอ คาดว่าจะมีการประชุมสัปดาห์นี้ ส่วนมาตรการที่จะเสนอ ต้องรอดูวาระการประชุม ศบค.อีกครั้ง ว่าจะต้องพิจารณาเรื่องใดบ้าง สธ.ก็จะทำมาตรการเข้าไปเพื่อพิจารณา ทั้งนี้ จะเห็นว่าสถานการณ์โควิดในไทยและทั่วโลกเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หลายประเทศก็เริ่มผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น แม้จำนวนติดเชื้อจะสูง ถึงหลัก 5-6 หมื่นรายต่อวัน สธ.เองก็มีความเห็นว่า เราไม่ควรจะล็อกดาวน์ตัวเองไว้ คาดว่ามาตรการต่างๆ ก็ควรจะมีการผ่อนคลายลง เพื่อให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคและเตรียมตัวเข้าสู่โรคประจำถิ่นต่อไป