xs
xsm
sm
md
lg

3 กระทรวง “ศธ.-มท.-สธ.” มั่นใจเปิดเรียน On Site พร้อมใช้แผนเผชิญเหตุ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดเสวนา “ร่วมใจ 3 กระทรวง มั่นใจเปิดเรียน On Site พร้อมใช้แผนเผชิญเหตุทุกสถานการณ์” เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ปกครอง ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับความปลอดภัย รวมทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันแก่ครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา ครอบคลุมทุกพื้นที่

วันนี้ (2 ก.พ.) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในการเปิดเวทีเสวนา “ร่วมใจ 3 กระทรวง มั่นใจเปิดเรียน On Site พร้อมใช้แผนเผชิญเหตุ ทุกสถานการณ์” โดยมีผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมเสวนา ได้แก่ นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย, นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค, นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย, รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย และ ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม ที่ปรึกษาสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย

โดย นางสาวตรีนุช กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนการเปิดเรียน On Site มาโดยตลอด ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยรวมทั้งทั่วโลกต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งทุกคนมีความกังวล เพราะต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ทั้งการทำงานหรือเรียนผ่านระบบออนไลน์ การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล การงดไปในสถานที่เสี่ยงต่าง ๆ แต่วันนี้ทุกคนเริ่มเข้าใจเรียนรู้ และปรับตัวว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไรกับโรคโควิด 19

ดังนั้นทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการศึกษา จึงมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันทุกมิติ และมีความเป็นห่วงนักเรียนนักศึกษา โดยพยายามหาแนวทาง มาตรการ การดำเนินการเพื่อให้เด็กนักเรียนไม่ขาดกระบวนการเรียนรู้ ทั้งการอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน โดยเฉพาะอายุ 12-17 ปี 11 เดือน 29 วัน และ 5-11 ปี 11 เดือน 29 วัน เพื่อให้สถานศึกษาเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดแก่เด็กนักเรียน

นางสาวตรีนุช กล่าวอีกว่า ขณะนี้ ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้มีการฉีดวัคซีนเข็มแรกไป99% และเข็ม 2 กว่า 80% เช่นเดียวกับนักเรียนในกลุ่มอายุ 12-17 ปี 11 เดือน 29 วันที่ได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็ม 2 ไปแล้วกว่า 80%

แม้จะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 สายพันธ์ุโอมิครอน แต่การเรียนรู้ของเด็กต้องไม่หยุดนิ่ง ขอให้ทุกคนตระหนักถึงการแพร่ระบาดของโควิด 19 แต่อย่าตระหนก โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็น 6 มาตรการหลัก (DMHC-RC) 6 มาตรการเสริม (SSE-CQ) 7 มาตรการเข้มงวด และการจัดทำแผนเผชิญเหตุ

“โรงเรียนจะเปิดเรียนออนไซต์ได้ ต้องผ่านมาตรการและควบคุมของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ขอให้ผู้ปกครองตลอดจนประชาชนเชื่อมั่น เพราะทุกโรงเรียนได้ดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด”

ด้านนายสุภัทร กล่าวถึงจำนวนโรงเรียนที่เปิดเรียน On Site ในปัจจุบัน รวมถึงนโยบายการเปิดเรียน และการฉีดวัคซีนของนักเรียนว่า การเปิดเรียนเป็นจุดสำคัญของการเรียนรู้ ทั้งด้านองค์ความรู้ การพัฒนาทางร่างกายและจิตใจ  ซึ่ง ศธ.ไม่ใช่เพียงหน่วยงานเดียวที่จัดการศึกษา ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่ดูแลโรงเรียนสาธิตต่าง ๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แต่กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบโรงเรียน และนักเรียนมากที่สุดกว่า 34,000 แห่ง

ซึ่งขณะนี้มีเด็กในระบบการศึกษากว่า 9.7 ล้านคน จากทุกหน่วยงานที่จัดการศึกษา ซึ่งมีโรงเรียนทยอยเปิดเรียนจำนวนมาก ศธ.ได้ทำการสำรวจข้อมูลการเปิดเรียนจาก 77 จังหวัด มีการส่งข้อมูลมาแล้ว 40 จังหวัด เปิดเรียนแล้ว 79.32 % ในจำนวนดังกล่าวมี 2 จังหวัดที่มีการเปิดเรียนน้อยกว่า 30 % จังหวัดภูเก็ต 21.66 % จังหวัดระยอง 29.27 %ส่วนที่เหลืออีก 37 จังหวัด ขณะนี้ยังไม่ส่งข้อมูลมา แต่คาดว่ามีจำนวนใกล้เคียงกัน

สำหรับการสำรวจจำนวนที่ประสงค์ให้เด็ก ช่วงอายุ 5-11 ปี 11 เดือน 29 วัน ฉีดวัคซีนนั้น จากจำนวนนักเรียนทั้งในและนอกสังกัด ศธ. ทั้งประเทศจำนวน 5,381,431 คน จากการสำรวจข้อมูลล่าสุด มีจังหวัดส่งข้อมูลมาแล้ว 61 จังหวัด ทำการสำรวจเด็ก 4,185,000 คน คิดเป็น 78 % ประสงค์ฉีดวัคซีน 2,570,000 คน คิดเป็น 61 % โดยส่วนตัวเชื่อว่าผู้ปกครองจะแสดงความประสงค์ให้นักเรียนฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น

ด้านเลขาธิการ กพฐ. กล่าวถึงปัญหาในการเปิดเรียนรวมทั้งแนวทางที่โรงเรียนต้องเตรียมพร้อมปฏิบัติว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา เรามีการจัดรูปแบบการเรียนการสอน 5 รูปแบบ ได้แก่ On Site, On Air, Online, On Demand, และ On Hand ซึ่งใน 5 รูปแบบนี้เราทุกคนเห็นตรงกันว่ารูปแบบที่ดีที่สุดคือแบบ On Siteจากนโยบาย รมว.ศธ. ที่ได้พยายามผลักดันให้เปิดเรียนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นมา มีโรงเรียนจำนวนมากที่สามารถเปิดเรียนแบบ On Site ได้แล้ว แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล

ดังนั้น แนวทางในการเปิดเรียน สพฐ.จำแนกโรงเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่ยังไม่เคยเปิดเรียนมาเลยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน และกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่เปิด On Site อยู่แล้วก่อนปีใหม่ และจะมาปิดหลังปีใหม่นี้ สำหรับโรงเรียนที่ยังไม่เคยเปิดเรียนแต่ทำการประเมินโรงเรียน 44 ข้อผ่านแล้ว ให้ส่งเรื่องมายังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด เพื่อนำเรื่องเข้าสู่ ศบค.จังหวัด ให้ทำการอนุมัติ

หาก ศบค.จังหวัดเห็นชอบ ก็สามารถดำเนินการเปิดเรียนต่อไปได้ โดยพิจารณาตามบริบทของพื้นที่ แต่หากโรงเรียนยังทำการประเมินไม่ผ่าน ก็ต้องประเมินตัวเองให้ผ่านเสียก่อน เพราะถึงแม้เราจะต้องการให้นักเรียนมาเรียนแบบ On Site แต่ความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด

ขณะที่อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการมาของวัคซีนว่า ปัญหาสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถเปิดเรียนได้ คือความกังวลของผู้ปกครองและผู้บริหารจังหวัด ในการเปิดเรียนแล้วจะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จึงขอชี้แจงว่าประเทศไทยผ่านสถานการ์แพร่ระบาดใหญ่มาแล้ว การฉีดวัคซีน การรักษา รวมถึงการปรับตัวดีขึ้นมาก เพราะขณะนี้โควิด 19 กำลังใกล้จะเข้าสู่โรคประจำถิ่น ที่คนสามารถอยู่ร่วมกันได้ มีอาการติดเชื้อไม่รุนแรง

ในความเข้าใจส่วนตัว ผู้ปกครองคงกังวลว่า เด็กจะเป็นหนูทดลอง ตนขอยืนยันในความปลอดภัย โดยวัคซีนที่ทั่วโลกอนุมัติให้ใช้กับเด็ก คือ ไฟเซอร์ เป็นวัคซีนในกุล่ม mRNA โดยวัคซีนที่จะนำมาฉีดให้เด็ก จะคำนึงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ส่วนวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีส้ม สั่งซื้อไป 10 ล้านโดส ผู้ผลิตแจ้งจะส่งมอบจะจัดส่งให้ประเทศไทยสัปดาห์ละ 3 แสนโดส สธ.จัดสรรวัคซีนเพื่อให้บริการฉีดวัคซีนผ่านสถานศึกษา ฉีดวัคซีนวัคซีนให้นักเรียนชั้น ป.6 ที่อายุต่ำกว่า 12 ปีก่อน
จากนั้นฉีดวัคซีนให้ชั้นอื่น ๆ จนถึงชั้น ป.1

ขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อยู่ระหว่างการพิจารณาขึ้นทะเบียนวัคซีนซิโนแวค ซึ่งคงเหลืออยู่ 4 ล้านโดส สำหรับฉีดในเด็กอายุ 3-17 ปี เพื่อเป็นทางเลือกในการเข้ารับวัคซีนต่อไป

ด้านรองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงสถิติการเกิดโรคว่า การติดเชื่อในสถานศึกษา ส่วนมากเกิดจากการร่วมกลุ่มของเด็ก แม้โรงเรียนจะดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และมีการฉีดวัควัคซีนครบแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มโรงเรียนประจำ ที่มีการร่วมกลุ่มพบว่ามีการติดเชื้อค่อนข้างมาก แต่มีข้อดีคือไม่ได้มีการนำไปแพร่เชื้อภายนอก เพราะมีการกักตัวในพื้นที่เดียวกัน ทางแก้ขอเน้นย้ำ ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่มีการจัดกิจกรรมร่วมกลุ่ม และจัดกิจกรรมที่เป็นการร่วมกลุ่มขนาดเล็ก

ส่วนายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กฯ และที่ปรึกษาสมาคมโรคติดเชื้อฯ เปิดเผยถึงมุมมองและเหตุผลทำไมควรเปิดเรียนว่า ในการประชุมนี้เห็นตัวอย่างชัดเจนว่าทำไมต้องเปิดเรียน On Site เพราะมีข้อจำกัดของเทคโนโลยี

นอกจากนั้นการเรียนออนไลน์จะทำให้ไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครู หรือเด็กกับเด็ก แต่การจะเปิดเรียนนั้นทั้งโรงเรียนและผู้ปกครองต้องมีการคัดกรองร่วมกัน ซึ่งต้องคัดกรองจากอาการไม่ใช่คัดกรองจากไข้ ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ เราสามารถมีความพร้อมให้สามารถเปิดเรียนได้ ถ้ามีการเตรียมการที่ดี

ส่วนพื้นที่ที่โรงเรียนไม่สามารถเปิดเรียนได้ ควรจะมีมาตรการที่เหมาะสม ตลอดจนสำรวจปัญหาว่าแต่ละโรงเรียนเป็นอย่างไร รวมถึงเรื่องระยะห่าง ที่หลาย ๆ โรงเรียนอาจต้องมีการปรับให้เหมาะสม หรือในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ อาจจะต้องให้นักเรียนทุกคนใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา หรือถอดเฉพาะช่วงของการรับประทานอาหาร ซึ่งอาจต้องเปิดหน้ากากเป็นไปได้หรือไม่ที่อาจจัดช่วงเวลาในการรับประทานอาหาร

รองปลัด มท. กล่าวปิดท้ายว่า กระทรวงมหาดไทยพร้อมให้การสนับสนุนการทำงานและมาตารการของกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณะสุขอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ขอความร่วมมือให้ทั้งสองหน่วยงานแจ้งระเบียบปฏิบัติไปยังสถานศึกษาในแต่ละพื้นที่ได้โดยตรง และมาร่วมหาแนวทางรับมือการเปิดเรียนเพิ่มเติมร่วมกันในการประชุม ศบค .ในแต่ละจังหวัด












กำลังโหลดความคิดเห็น